“ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน” คือคำขวัญประจำเมืองจังหวัดยะลา จังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองที่ดีและสวยงามแห่งหนึ่งในประเทศไทย อยู่ในเขตเทศบาลนครยะลา ขนาดพื้นที่ 19 ตารางกิโลเมตร มีถนนกว่า 400 สาย ตัดเชื่อมต่อกัน ส่วนหนึ่งเป็นใยแมงมุม มีวงเวียนซ้อนกัน 3 วง คล้ายกับกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส โดยออกแบบให้ถนนทุกสายไปรวมกันที่วงเวียนหลักเมือง เป็นการแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นโซนนิ่งที่ชัดเจน เช่น สถานศึกษา สถานที่ราชการ ย่านธุรกิจการค้า บ้านพักที่อยู่อาศัย และสวนสาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวของเมือง อีกส่วนหนึ่งตัดกันเป็นตารางหมากรุก คล้ายกับนครลอสแอลเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา มีทางเท้าควบคู่รางระบายน้ำ ช่วยให้แนวของอาคารเป็นแนวเดียวกัน ส่งผลให้เมืองยะลามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นเมืองที่สวยงามร่มรื่น สะดวกในการพัฒนาทุกด้าน จนได้รับการกล่าวขานจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ อยู่เสมอ
สำหรับผังเมืองยะลานี้ สร้างในสมัยพระรัฐกิจวิจารณ์ ประมาณปี พ.ศ.2480 – 2488 โดยมีที่ปรึกษาเป็นชาวอังกฤษมาออกแบบผังเมืองในรูปแบบวงเวียน สำหรับวงเวียนชั้นที่ 1 เป็นหน่วยงานราชการ , วงเวียนชั้นที่ 2 เป็นบ้านพักข้าราชการ , วงเวียนชั้นที่ 3 เป็นโรงพยาบาล โรงเรียน สวนสาธารณะ และชั้นนอกสุด เป็นย่านการค้า และที่อยู่อาศัย ด้วยการวางผังเมืองแบบนี้ทำให้เมืองยะลาได้รับชื่อเสียงว่าเป็นเมืองที่สวยงามและน่าอยู่เล่าขานกันจนถึงปัจจุบัน
“ทีมข่าวพิเศษ” ลงพื้นที่ในลักษณะแบบนี้ เพื่อไปพูดคุยกับชาวบ้านครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก ปีที่แล้วลงไปพูดคุยกับ “ป้าผิว เสาะสุวรรณ” แห่งบ้านเจาะตีเมาะ ต.สะแอ อ.ยะหา จ.ยะลา ตามคำขอของ “ปลัดเก่ง” สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมกับได้ให้ “ป้าผิว” พูดคุยกับปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้กำลังใจในฐานะป้าผิวเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงลูก 3 คน หลังปี 2547 มีคนในหมู่บ้านหนีออกจากพื้นที่ ป้าผิวไม่คิดย้าย “ปากกัดตีนถีบ” เลี้ยงชีวิตด้วยสัมมาชีพส่งลูกเรียนจนจบ ป้าผิว “ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข” ตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนดึง “ไทยมุสลิม-พุทธ” ทำกล้วยน้ำว้าแปรรูป ส่งออกทั่วประเทศ..ทำโคก หนอง นา สร้างแหล่งอาหารให้ชุมชน ภายใต้การสนับสนุนของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งภาครัฐอื่น ๆ สร้างกิจกรรมสานสัมพันธ์ไทยพุทธ-มุสลิม ผ่าน “กิจกรรมในแปลงโคก หนอง นา” แบบอย่างของคนชายแดนใต้ที่ดึง “คนกลับถิ่น” ได้หลายครัวเรือน เธอคือสตรีที่น่ายกย่องเป็น “สตรีต้นแบบแห่งสันติภาพ” ไม่คิดแบ่งแยก มีแต่การแบ่งปันและเกื้อกูลระหว่างคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี
“จังหวัดยะลา” เป็นจังหวัดหนึ่งตั้งอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยมีอาณาเขตทางใต้ติดกับประเทศมาเลเซีย เป็นจังหวัดเดียวในภาคใต้ที่ไม่ติดทะเล และเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย ดังปรากฏในคำขวัญประจำจังหวัดคือ “ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน” มีประชากรประมาณ 542,314 คน การปกครองแบ่งออกเป็น 8 อำเภอ 58 ตำบล 341 หมู่บ้าน
จังหวัดยะลาเป็นหนึ่งในสามจังหวัดของไทยที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็เป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธมากที่สุดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีชุมชนชาวคริสต์ขนาดย่อมทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในเขตเทศบาลนครยะลาและเทศบาลเมืองเบตง นอกจากนี้ยังมีชุมชนของผู้นับถือศาสนาซิกข์จำนวนน้อยอาศัยอยู่ในเขตเทศบาลนครยะลา
คำว่า “จาโปตาแง” นั้น มาจากภาษามลายูท้องถิ่น มีความหมาย คือ การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันของคนในชุมชนเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน และนำมาเป็นสโลแกนในการขับเคลื่อนอำเภอนำร่อง “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ของกระทรวงมหาดไทย
“ธราวุธ ช่วยเกิด” ปลัดจังหวัดยะลา อดีตนายอำเภอเมืองยะลา บอกกับเราช่วงหนึ่งของการพูดคุยเพื่ออธิบายความหมายของคำว่า “จาโปตาแง” พร้อมกับเล่าเส้นทางชีวิตกว่าจะถึงวันนี้ว่า เป็นคนจากนครศรีธรรมราช ที่บ้านมีอาชีพเกษตรกรรม ตอนเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้รับเงินจากพ่อแม่เดือนละแค่ 1,500 บาท ชีวิตตอนเป็นนักศึกษาต้องรับจ้างแจกใบปลิวตามหมู่บ้าน ตามตลาดนัด หาเงินเลี้ยงชีพ หาเงินจ่ายค่าเทอมและห้องพัก เคยเป็นเซลล์ขายรถยนต์สอง ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายเรื่อง จนวันหนึ่งมีโอกาสมารับราชการในจังหวัดยะลาตั้งแต่ปี 2539 จึงรู้เรื่องปัญหาความยากจนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ บริบทความเชื่อและสังคมไม่เหมือนภาคอื่น ๆ เป็นอย่างดี ประชาชนชายแดนใต้ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ลูกหลานอยู่อาศัยกันหลายคน ตามหลักศาสนาอิสลามไม่มีการคุมกำเนิด ส่งผลให้บางครอบครัวมีรายได้ไม่พอรายจ่าย บางครอบครัวปัญหาซ้อนปัญหา กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ตัวอำเภอเมืองยะลา จากข้อมูล TPMAP หรือที่เราเรียกว่า ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า มีครัวเรือนตกเกณฑ์ถึง 3,626 ครัวเรือน มีกลุ่มเปราะบาง 1,396 คน ตกเกณฑ์ Thai QM 194 ครอบครัว และผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบด้วย 3,081 คน การแก้ปัญหาเรื่องความยากจนเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ สำหรับตัวเมืองอำเภอยะลา หลังเราเข้าร่วมอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ผมดำเนินการ 5 ส. คือ ส. 1 สร้างการรับรู้ ส.2 การสร้างอาชีพ ส.3 สร้างกลุ้ม ส.4 การสร้างเครือข่าย และ ส.5 การสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่า ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านโครงการต่าง ๆ
“ในตัวอำเภอยะลา เป็นพหุวัฒนธรรมมีหลายศาสนา พี่น้องไทยพุทธ เป็นสังคมผู้สูงอายุอัตราการเกิดน้อย วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงานมีน้อย แต่หากเป็นพี่น้องไทยมุสลิมแทบจะไม่ส่งผลเพราะทุกครัวเรือนจะมีประชากรทุกช่วงวัยเด็กมี วัยรุ่นเยอะ วัยทำงาน วัยผู้สูงอายุก็เยอะ การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากตัวนายอำเภอก่อนผู้นำต้องทำก่อน เริ่มจากที่บรรจุเป็น ปลัดอำเภอตั้งแต่ปี 2539 อยู่มาเกือบทุกอำเภอของจังหวัดยะลา เราได้เห็นบริบทของแต่ละอำเภอหลากหลาย การทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชนก็น้อมนำศาสตร์พระราชาเข้ามา ประชาชนก็จะดูว่านายอำเภอเป็นคนอย่างไร คบได้หรือไม่ เป็นคนพูดจาน่าเชื่อถือ ถ้าหากเขามั่นใจในตัวผู้นำ การทำงานร่วมกันก็จะทำได้ง่าย เมื่อผู้นำเป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว การสร้างทีมที่มาจากใจพวกเขาว่าตั้งใจจะช่วยนายอำเภอ ตั้งใจช่วยงานภาครัฐ ถ้าหากเขาศรัทธาเชื่อมั่นในตัวผู้นำแล้ว หลายงานก็จะประสบความสำเร็จ หลักนิยมของพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะชาวมุสลิมเขาเชื่อผู้นำ
ก่อนปี 2547 สังคมคนชายแดนใต้เราไว้วางใจซึ่งกันและกัน แม้จะต่างศาสนากัน แต่หลังจากปี 2547 เจอสถานการณ์ความรุนแรงมานี้ พอมีเส้นแบ่งบางๆตรงนี้ พี่น้องประชาชนก็มีการแบ่งฝ่าย เราต้องสื่อให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าการอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะศาสนาใด ก็เป็นคนไทยด้วยกัน มีความเสมอภาคและไม่แบ่งว่าเราเป็นพลเมืองคนละชั้น และหน่วยงานภาครัฐก็ให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน เราไม่มีสิทธิเลือกปฎิบัติ..”
ปฎิบัติการเดินหน้ายุทธการ “จาโปตาแง แก้จน คนเมืองยะลา” เริ่มเห็นภาพชัดยิ่งขึ้นเมื่อ “ทีมข่าวพิเศษ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “กัลยดา หฤทัยวรรณ” พัฒนาการอำเภอเมืองยะลา ซึ่งทุกจังหวัดที่เราลงพื้นที่ในลักษณะนี้คนของ “กรมการพัฒนาชุมชน” ถือว่าเป็น “เสนาธิการ” หรือ “กุนซือ” หลักให้กับ “นายอำเภอ” เกือบทุกที่ ในการแก้ไขปัญหา “ปากท้อง” หรือ “สร้างอาชีพ” ให้กับประชาชน ซึ่งล้วนต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ “กรมการพัฒนาชุมชน” เป็นแม่งานหลักในการขับเคลื่อน
Leave a Reply