ในสมัยรัชกาลที่ 4 ลัทธิอาณานิคมได้รุกคืบมายังฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทำให้ภาคอีสานซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลายเป็นพื้นที่อ่อนไหวต่ออำนาจ ซึ่งอาจถูกมหาอำนาจผนวกเอาดินแดนส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของลาว เนื่องด้วยชาวอีสานล้วนมีประเพณีและวิถีชีวิตแบบชาวลาว

รัชกาลที่ 4 จึงต้องการปฏิรูปหัวเมืองลาวให้กลายเป็นไทยอย่างสมบูรณ์ ผ่านการชำระประวัติศาสตร์ในลักษณะชาตินิยมด้วยพระราชนิพนธ์ต่างๆ เช่น ปฐมวงศ์ พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้น ทำให้แนวคิดในการรวมหัวเมืองต่างๆเข้าเป็นรัฐชาติสยามชัดเจนมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการออกประกาศเปลี่ยนแปลงนามมณฑล พ.ศ. 2442 และเมื่อมีการสำรวจสำมะโนครัวก็ได้ห้ามการระบุว่าเป็นชาติลาว เขมร ส่วย ผู้ไท ฯลฯ แต่ให้ใช้สัญชาติไทยเหมือนกันหมด
นอกจากนี้ พระสงฆ์ธรรมยุตก็นับว่ามีบทบาทสำคัญในการทำให้กระบวนการปฏิรูปหัวเมืองลาวประสบความสำเร็จ หลังได้รับการกล่อมเกลาด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมจากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร เหล่าพระสงฆ์จะถูกส่งไปทำหน้าที่เป็นครูสอนอุดมการณ์ของรัฐชาติผ่านภาษาบาลีและภาษาไทย (ซึ่งแสดงความเป็นไทยกลาง) โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐ
รัฐยังเข้าไปควบคุมความเชื่อและการประกอบพิธีกรรมของชาวอีสานอย่างเข้มข้นทั้งการออกระเบียบว่าด้วยการบรรพชาและอุปสมบท รวมถึงการห้ามพิธีกรรมแบบลาว เช่นพิธีฮดสรงซึ่งเป็นพิธียกย่องตำแหน่งพระสงฆ์แบบโบราณล้านช้างของชาวบ้าน โดยให้เหตุผลว่าการแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

Leave a Reply