“ผู้เขียน” ฟังคำแถลงของโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติล่าสุด พูดถึง มติ มส. ย้ายสถาบันอบรมพระสังฆาธิการจากราชบุรีกลับมาสู่ “พุทธมณฑล” หากฟังเฉพาะเนื้อหาคำแถลง มีพระสงฆ์ระดับพระสังฆาธิการหลายรูป “ตื่นเต้น” เพราะถือว่า มหาเถรสมาคม “ตื่นตัว” รับรู้ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกิด พร้อมที่จะ “พัฒนา” คนของตัวเอง เพื่อรองรับการ กฎหมาย กฎระเบียบที่เกิดขึ้น
ส่วน “รูปธรรม” ก็ต้อง “ติดตาม” ว่าจะเกิด “มรรคผล” แค่ไหน เพราะหลาย “มติ” สุดท้าย..เป็นแค่ กระดาษ เนื่องจาก “บอร์ด” ที่ขับเคลื่อนเพื่อไปสู่ “รูปธรรม” ตามมติดังกล่าว ยังไม่เกิด!!
“ชาวพุทธ” ต้องยอมรับว่า “พระสังฆาธิการ” ยุคนี้ องค์ความรู้ “ไม่ทันโลก” โลกกำลังไล่ต้อน “พระสงฆ์” ให้เข้าสู่ “กรอบ” ของกฎหมายบ้านเมือง
ส่วน “พระสังฆาการ” รูปใด คิดว่า ตนเอง “ทันโลก-ทันโยม” หรือเป็น “พระยุคใหม่” นั่นแล้วแต่ความคิดของท่าน

“เจ้าคุณหรรษา” 1 ใน 3 ของพระนักวิชาการระดับ “ศาสตราจารย์” ของคณะสงฆ์ไทย เป็นพระภิกษุ “หัวก้าวหน้า” น่าจะคนแรกที่ “เรียกร้อง” ให้มหาเถรสมาคมพัฒนารื้อฟื้น “ปัดฝุ่น” สถาบันพระสังฆาธิการ โดยส่งเสียงให้ “มส.” ใช้สถาบันพระสังฆาธิการเป็นสถาบันในโครงสร้างกฏหมาย ภายใต้การกำกับดูแบบของมหาเถรสมาคม โดยแบ่งภาระงานหลักอย่างน้อย 3 ประการ คือ (1) จัดทำนโยบาย และแผน รวมถึงศึกษา และวิจัยเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่พระสังฆาธิการตาม พรบ สงฆ์ 2505 (2) ออกแบบหลักสูตรฯ รวมถึงการพัฒนา ฝึกอบรมพระสังฆาธิการ รวมถึงไวยาวัจกร ในทุกระดับ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว มีการถอดบทเรียนศึกษาดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ (3) วัดผลและประเมินสมรรถนะการบริหารจัดการของพระสังฆาธิการ แล้วนำมาออกแบบหลักสูตรฯ รวมถึงการถวายข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสมรรถนะในการบริหารคณะสงฆ์เพื่อให้มหาเถรสมาคมเมตตามีมติให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการยกระดับการบริหารจัดการต่อไป
“พร้อมกันนี้ ภายใต้สถาบันพระสังฆาธิการซึ่งอยู่ในการกำกับของมหาเถรสมาคมโดยตรงนั้น ควรให้มีผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการสถาบันฯ จะเป็นพระหรือโยมก็ได้ เพื่อกำกับดูแลในเชิงนโยบายกระตุ้นส่วนงานย่อยทั้ง 3 ส่วนงานข้างต้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจากรัฐบาลก็ได้ แต่ให้นำงบประมาณจากศาสนสมบัติกลางมาจัดสรรให้สถาบันฯ เพื่อจะทำหน้าที่พัฒนาสมรรถนะพระภิกษุที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระสังฆาธิการ พระสังฆาธิการในทุกระดับ พระอุปัชฌาย์ ไวยาวัจกรให้มีความพร้อมในการบริหารจัดการองค์กรสงฆ์ในระดับต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพและปนะสิทธิผล..”
“ผู้เขียน” เห็นด้วยว่า “มส.” ควรทำอย่างที่ “เจ้าคุณหรรษา” แนะนำเอาไว้ ความจริง มส. แค่ “เปิดทาง” คนพร้อม เงินพร้อม สถานที่พร้อม
เพียงแต่ที่ผ่าน “มส.” ไม่คิดจะทำ สังคมเลยมองว่า “มส.” มีไว้ทำไม หรือมองว่าเป็นเพียงแค่ “เสือกระดาษ” คือ ไม่คิดทำอะไร หรือ สั่งแล้ว ก็..จบ
วิกฤติคณะสงฆ์ที่เกิดขึ้น “สังคม” ส่วนใหญ่ทั้งพระและโยมจึงชี้นิ้วไปที่ มส.ว่า “ต้นเหตุ”


Leave a Reply