เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.63 ) ณ พระตำหนักจันทร์ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร กรุงเทพมหาคร มีการประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นประธาน
ภายหลังการประชุม นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการในฐานะโฆษกสำนักงานพระพุทธศษสนาแห่งชาติได้ กล่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมที่วัดบวรนิเวศวิหารว่า
ตามที่มีข้อร้องเรียนผ่านระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรณีการบิณฑบาตของพระสงฆที่ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย เช่น การบิณฑบาตก่อนอรุณการกลับเข้าวัดเกินเวลาที่กำหนด รับบิณฑบาตมากเกินความจำเป็น หรือถ่ายเทอาหารให้บุคคลภายนอก นั่งหรือยืนปักหลักบิณฑบาตบริเวณหน้าร้านค้า ตลอดจนนำอาหารที่ได้รับมาให้ร้านค้าจำหน่ายต่อ รวมทั้งหวังแต่ลาภสักการะ เมื่อบิณฑบาตแล้ว อาหาร ดอกไม้ ธูป เทียนที่ได้ไม่นำกลับวัด ทิ้งไวข้างทาง เป็นตัน เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแก่สมณวิสัย ทำให้ผู้ที่ใส่บาตรและผู้ที่พบเห็นเสื่อมความศรัทธา เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนา
และคณะสงฆ์ โดยในการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 63 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มอบให้กรรมการมหาเถรสมาคม 3 รูป คือ พระพรหมบัณฑิต พระพรหมเสนาบดี พระธรรมกิตติเมธี ไปหารือกันเพื่อออกแนวปฏิบัติที่เหมาะสม และถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย เพื่อนำเสนอในการประชุมมสพิจารณาออกแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไปนั้นนายสิปป์บวร กล่าวต่อไปว่า กรรมการมส.ทั้ง 3 รูป ได้สรุปแนวทางเสนอมส. และมส.ได้มีมติว่า ให้เจ้าคณะใหญ่ในแต่ละหน ซึ่งมีสถานะเป็นประธานพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) ของแต่ละหน ไปพิจารณาออกแนวทางในการบิณฑบาตให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยและเหมาะสมกับวิถีชีวิตของประชาชนในแต่ละพื้นที่จากนั้นให้กำหนดเป็นแนวทางของแต่ละพื้นที่ผ่านคณะกรรมการพระวินยาธิการระดับจังหวัด โดยจะมีพระวินยาธิการประจำตำบลตำบลละ 2 รูปทำหน้าที่ในการลงพื้นที่ตรวจตามสถานที่ต่าง ๆ
“..ทั้งนี้การบิณฑบาตที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ถือว่าเข้าข่ายการมีอาจาระไม่เหมาะสมซึ่งบทลงโทษจะอยู่ที่การพิจารณาของเจ้าคณะผู้ปกครอง ตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ และหากยังคงทำผิดอยู่เนือง ๆ ก็สามารถพิจารณาโทษถึงขั้นให้สละสมณเพศได้..”
——————–
ภาพ : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ข้อมูล: คติธรรม วาทะธรรม พระพรหมบัณฑิต
Leave a Reply