ความเป็นการเมืองของ “มหาเถร” โดย..สุรพศ ทวีศักดิ์ ในบ้านเรา เวลามีปัญหาว่าพระสงฆ์ยุ่งเกี่ยวการเมืองได้หรือไม่ สื่อมวลชนมักจะไปหาคำตอบจากหลักการ 2 อย่างคือ ธรรมวินัยกับคำสั่งและมติมหาเถรสมาคม แต่ธรรมวินัยบัญญัติขึ้นในบริบทสังคมโบราณที่ศาสนากับรัฐ-การเมืองไม่ได้แยกจากกัน คำสอนในไตรปิฎก (เช่นจักกวัตติสูตร เป็นต้น) ได้ให้ภาพหน้าตาของ “รัฐพุทธศาสนา” ชัดเจนว่า กษัตริย์หรือรัฐต้องปกครองโดยธรรม ต้องเข้าไปขอคำปรึกษาจากสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สอนธรรมโอวาทแก่ผู้ใต้ปกครอง ให้การคุ้มครองอุปถัมภ์นักบวช และสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนา แปลว่าในแง่หลักการธรรมวินัย ศาสนากับการเมืองไม่แยกจากกัน เพราะผู้ปกครองต้องใช้หลักธรรมของพุทธศาสนาในการปกครอง ต้องสอนธรรม อุปถัมภ์คุ้มครองและส่งเสริมการเผยแพร่ศาสนาของนักบวช ส่วนนักบวชก็มีหน้าที่สอนธรรมแก่ผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครอง ดังนั้น ธรรมวินัยจึงไม่มี “เส้นแบ่ง” ที่ชัดเจนว่าศาสนาและนักบวชต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง (แบบโบราณ) ส่วนในแง่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ก็มีการนำหลักคำสอนในไตรปิฎกมาสถาปนารัฐพุทธศาสนาตั้งแต่ยุคอโศกเป็นต้นมา เมื่อรัฐราชาธิปไตยของสยามไทยรับพุทธศาสนามา ก็มีการสถาปนากษัตริย์เป็นสมมติเทพ โพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าอยู่หัว มีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะชั้นต่างๆ ในโครงสร้างระบบชนชั้นของ “รัฐพุทธศักดินา” ก็ประกอบด้วยชนชั้นปกครอง คือ กษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และพระสงฆ์ ส่วนชนชั้นผู้ใต้ปกครองคือไพร่ ทาส ในโครงสร้างเช่นนี้พระสงฆ์จึงอยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่นอกการเมืองหรืออยู่เหนือการเมืองแต่อย่างใด เพราะพระสงฆ์ต้องทำหน้าที่ทางการเมืองสนับสนุนการปกครองโดยธรรมของกษัตริย์ ต่อมาเมื่อมีการสร้างอุดมการณ์ “รัฐพุทธราชาชาตินิยม” ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4, รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 คณะสงฆ์ได้ถูกแยกเป็นสองนิกาย คือธรรมยุติกนิกายกับมหานิกาย และมีการก่อตั้ง “มหาเถรสมาคม” เป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ให้มีสถานะเป็น “ศาสนจักรของรัฐ” ที่ขึ้นต่อพระราชอำนาจ เพราะกษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะปกครองระดับสูง รวมทั้งแต่งตั้งสมณศักดิ์ชั้นยศต่างๆ ของพระสงฆ์ ศาสนจักรในรัฐพุทธราชาชาตินิยมจึงอยู่ในโครงสร้างอำนาจทางการเมือง ที่มีหน้าที่สนับสนุนอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดย “ศาสน์” หรือศาสนาอันเป็นสถาบันหลักที่แยกไม่ออกจากชาติและกษัตริย์นั้น รัชกาลที่ 6 ชี้ชัดว่าหมายถึง “พระไตรรัตน์” หรือพุทธศาสนา ส่วนศาสนาอื่นๆ ย่อมอยู่ใต้ร่มของพุทธราชาตินิยม ตราบที่ไม่เป็นภัยต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นอุดมการณ์สูงสุดของรัฐพุทธราชาชาตินิยม ดังนั้น เวลาบอกว่า “พระสงฆ์ไม่ควรเกี่ยวข้องกับการเมือง” ตามกรอบคิดศาสนจักรของรัฐจึงไม่ได้หมายความว่า “พระสงฆ์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่แล้ว” หรือ “พระสงฆ์ต้องไม่เกี่ยวข้องการเมืองทุกกรณี” เพราะอันที่จริง พระสงฆ์ถูกกำหนดให้ “ทำหน้าที่ทางการเมือง” สนับสนุนอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และพระราชกรณียกิจต่างๆ อยู่แล้ว ตัวอย่างปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้ศาสนจักรของรัฐ เช่น กรณีที่ ว. วชิรเมธี ออกรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” โปรโมท “ค่านิยม 12 ประการ” ว่าคล้ายธรรมะในพุทธศาสนา จึงไม่ใช่การยุ่งเกี่ยวการเมือง แต่เมื่อพระเมธีธรรมาจารย์หรือ “เจ้าคุณประสาร” และพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโตวิจารณ์การแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 ของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา มหาเถรฯ กลับวินิจฉัยว่าเป็นการ “ยุ่งเกี่ยวการเมือง” ดังนั้น การวินิจฉัยของมหาเถรฯ จึงมี “ความเป็นการเมือง” (the political) ในความหมายของการแยกฝ่าย แยกมิตร แยกศัตรูอย่างชัดเจน เพราะถ้าพระเณรแสดงออกทางการเมืองในทางสนับสนุนรัฐบาล สนับสนุนอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไม่ถือว่ายุ่งเกี่ยวการเมือง ควรกระทำ แต่ถ้าแสดงออกในทางตั้งคำถาม วิจารณ์รัฐบาล และสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชนถือเป็นการยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่ควรกระทำ คำถามสำคัญ จึงไม่อยู่ที่ประเด็นว่า พระสงฆ์ยุ่งเกี่ยวการเมืองได้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะยกเลิกระบบศาสนจักรของรัฐ ที่เป็นองคาพยพทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยเป็นศาสนจักรที่ทำหน้าที่สนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมือง คืออุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คำตอบก็คือต้อง “แยกศาสนาจากรัฐ” (secularization) คือ แยกศาสนาออกจากอุดมการณ์รัฐ แยกองค์กรปกครองสงฆ์และองค์กรทุกศาสนาออกจากโครงสร้างอำนาจทางการเมือง ให้ทุกองค์กรศาสนาเป็นเอกชนทั้งหมด รัฐไม่อุปถัมภ์ส่งเสริมศาสนาใดๆ แต่เป็นกลางทางศาสนาและการไม่นับถือศาสนา รักษาเสรีภาพและความเสมอภาคทางศาสนาเท่านั้น ถ้าแยกศาสนาจากรัฐได้ รัฐกับองค์กรศาสนาเอกชนก็ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน การแต่งตั้งผู้นำองค์กรศาสนา และการบริหารกิจการภายในของศาสนาไม่ใช่เรื่องของรัฐ เป็นเรื่องที่แต่ละองค์กรศาสนาจะบริหารจัดการกันเอง ผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสนับสนุนความมั่นคงแห่งสถานะและอำนาจของตนเองไม่ได้ นักบวชทุกศาสนามีเสรีภาพทางศาสนาและเสรีภาพทางการเมืองได้อย่างแท้จริง มีสิทธิเลือกตั้ง และมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสนับสนุสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยได้ เหมือนพลเมืองทั่วไป พูดให้ชัดคือ การบอกว่า “ศาสนากับการเมืองไม่เกี่ยวข้องกัน” จะ “make sense” ก็ต่อเมื่อเราใช้เกณฑ์การแยกศาสนาจากรัฐมาตัดสิน เมื่อใช้เกณฑ์แยกศาสนาจากรัฐมาตัดสิน ศาสนาจะถูกใช้เป็นอุดมการณ์ของรัฐ เป็นหลักการปกครอง การบัญญัติกฎหมาย และจะมีศาสนาจักรของรัฐที่ทำหน้าที่ทางการเมืองเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ทางศาสนาไม่ได้ ต้องถือว่าศาสนาเป็นความเชื่อส่วนบุคคลหรือชุมชนศรัทธาต่างๆ โดยเกณฑ์การแยกศาสนาจากรัฐ ถ้านักบวชหรือผู้นำศาสนาจะเข้ามายุ่งเกี่ยวการเมืองก็มายุ่งได้ภายในกรอบของระบอบเสรีประชาธิปไตยโลกวิสัย คือมีสิทธิเลือกตั้ง และเคลื่อนไหวทางการเมืองในทางสอดคล้องกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เช่น ศาสนาจารย์มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์เป็นแกนนำต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองของคนผิวดำในอเมริกาเป็นต้น แต่จะออกมาเล่นการเมืองเพื่อสิทธิพิเศษทางศาสนาใดๆ ไม่ได้ เช่นจะออกมาเรียกร้องให้บัญญัติ “ศาสนาประจำชาติ” ไม่ได้เป็นต้น แต่บ้านเรากลับตรงกันข้าม เวลาพระสงฆ์ออกมาชุมนุมเรียกร้อง “สิทธิพิเศษทางศาสนา” หรือเป็นสิทธิประโยชน์ขององค์กรศาสนาโดยเฉพาะ เช่น ออกมาชุมนุมเรียกร้องกระทรวงพุทธศาสนา เรียกร้องให้บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ กลับบอกว่า “ไม่ใช่การเมือง” แต่เป็น “การพระศาสนา” มหาเถรฯ ไม่ห้าม พอพระสงฆ์ออกมาสนับสนุนสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยอันเป็นหลักการสากลหรือเป็นเรื่องสิทธิประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทุกดคน มหาเถรฯ กลับห้าม นี่คือความเป็นการเมืองของมหาเถรฯ ที่เป็นศาสนจักรของรัฐ อันเป็นองคาพยพหนึ่งในโครงสร้างอำนาจทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่มีหน้าที่ทางการเมืองในการกำหนดให้พระสงฆ์และพุทธศาสนาเป็น “เครื่องมือ” ทางการเมืองในการสนับสนุนอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ วาทกรรม “ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง” ของมหาเถรฯ จึงเป็นเพียง “มายาคติ” ที่สวนทางกับความเป็นจริงแห่งความเป็นการเมืองของมหาเถรฯ ซึ่งเป็นหลักฐานในตัวเองอย่างประจักษ์ชัดแจ้ง! แหล่งข้อมูล :https://prachatai.com/ จำนวนผู้ชม : 217 Leave a ReplyFacebook Comments More Articles By the same author นักวิชาการ – องค์กรพระนิสิต : มจร – มมร “หายไปไหน” อุทัย มณี มิ.ย. 08, 2023 กรณีนักการเมืองหญิงคนหนึ่ง “แกว่งเท้าหาเสี้ยน” ตั้งคำถามหลายเรื่องที่ล้วนเกี่ยวข้องกับ… จังหวัดอุบล ฯ ขับเคลื่อนนำร่องหา “วัดต้นแบบ” ตามกรอบความร่วมมือ “MOU” กระทรวงมหาดไทย – มหาเถรสมาคม อุทัย มณี เม.ย. 15, 2022 วันที่ 15 เม.ย. 65 พระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม… “สอบติดแพทย์” แต่ยากจน “วัดท่าซุง” หาโยมอุปการะให้ ส่งเรียนฟรีจนจบ!! อุทัย มณี ส.ค. 11, 2024 วันที่ 11 ส.ค. 67 พระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ เจ้าอาวาสวัดจันทาราม… สมเด็จพระธีรญาณมุนี-ปลัดมหาดไทย ยกช่อฟ้าอุโบสถวัดสโมสร จังหวัดนนทบุรี อุทัย มณี เม.ย. 16, 2024 วันนี้ (16 เม.ย. 67) เวลา 09.39 น. ที่วัดสโมสร บ้านคลองหม่อมแช่ม หมู่… ประตูปันสุขสู้โควิด “คนไทยไม่ทิ้งกัน” อุทัย มณี พ.ค. 20, 2021 วันที่ 20 พ.ค. 64 สำนักงานพัฒนาชุมชน อำเภอบัวลาย จังหวัดนครราชสีมา … สมเด็จพระสังฆราชประทานปริญญาบัตรบัณฑิต’มจร’ประจำปี 2562 จำนวน 4,569 รูป/คน อุทัย มณี พ.ค. 25, 2019 วันที่ 25 พฤษภาคม 2562 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)… คณะทำงาน“ธนาคารพุทธ” ถกเดือดหลัง “กฤษฎีกา-ธปท” ตั้งป้อม “ขอเหตุผลความจำเป็น” อุทัย มณี ส.ค. 11, 2022 วันที่ 11 ส.ค. 65 วานนี้ที่อาคารรัฐสภาชั้น 4 นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ… สมเด็จพระมหาธีราจารย์เป็นประธานพิธีมุทิตาสักการะ ป.ธ.9 มอบโล่เกียรติยศ และทุนการศึกษาแด่สำนักเรียนบาลีดีเด่นทั่วประเทศ เนื่องในวันสมาธิโลก ณ วัดพระธรรมกาย อุทัย มณี ส.ค. 08, 2022 วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ณ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย… “สิปป์บวร” ผงาด “อนุชา” ตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกอีกตำแหน่ง อุทัย มณี ต.ค. 11, 2022 วันที่ 11 ต.ค. 65 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ลงนามแต่งตั้งให้นายสิปป์บวร… Related Articles From the same category ใต้บึ๊มรายวัน ฝีมือ BRN.?! วันนี้ คุณวาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหาร รายงานว่า … “พระกากัน มาลิค”ร่วมสัมมนาพิเศษ (ออนไลน์) เนื่องในวันคุ้มครองโลก องค์การพุทธโลก (WAB ) จัด วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา พระดร.พรชัย พลวธมฺโม ประธานองค์การพุทธโลก… ชาวรัฐฉานวิจารณ์แซด!! พฤติกรรม “ครูบาบุญชุ่ม” วันที่ 21 ตุลาคม 2566 เพจ “Banjob Bannaruji – บ้านบรรณรุจิ” ซึ่งเป็นเพจส่วนตัวของศาสตราจารย์พิเศษ… ‘ครูกายแก้ว’ผู้ที่เรืองเวทย์มนต์อาคมยุคพันปี สำนักพุทธาคมบรมครูพ่อปู่ฤาษีจับยาม อาจารย์สุชาติ รัตนสุข มีความสนใจในเรื่องราวศาสตร์ศิลป์ต่างๆ… กรรมการ มส.นำร่องนั่งฉันในบาตร..เพื่อป้องกันโควิด-19 วันนี้ (6 ม.ค.64) มีภาพปรากฏตามโซเซียลกลุ่มไลน์ชาวพุทธ…
Leave a Reply