วันนี้ (11 ก.พ. 65) เวลา 09:09 น. ที่สำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในโอกาสครบรอบ 62 ปีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดย พระครูวิศิษฏ์พิทยาคม (วราห์ ปุญญวโร) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง ประกอบพิธีบวงสรวงฤกษ์ และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมด้วยคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คณะผู้บริหาร และพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมในพิธี
โอกาสนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วย พระครูวิศิษฏ์พิทยาคม นำ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และคณะ ร่วมโปรยทรายเสก ใบเงิน ใบทอง ใบนาก เหรียญเงิน ทอง ลงก้นหลุมของแท่นวางแผ่นศิลาฤกษ์ พร้อมปิดทองและเจิมแผ่นศิลาฤกษ์ ไม้เข็มมงคล แผ่นอิฐทอง-นาก-เงิน และตลับพลอยนพรัตน์ และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ตอกไม้เข็มมงคล 9 ต้น วางอิฐทอง-นาก-เงิน ปูนและทรายเสก ตลับพลอยนพรัตน์ลงในช่องอิฐทอง-นาก-เงิน วางแผ่นศิลาฤกษ์ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ลั่นฆ้องชัย ประธานสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ผู้ร่วมพิธีถวายสังฆทาน กรวดน้ำรับพร และกราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยเริ่มมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2427 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และโปรดเกล้าฯ ให้มีการส่งเสริมพัฒนากิจการไฟฟ้าในประเทศไทยให้ได้รับการก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง และขยายการผลิตไฟฟ้าเพื่อแสงสว่าง โดยกิจการไฟฟ้าในส่วนภูมิภาค เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อมีการจัดตั้งแผนกไฟฟ้าขึ้นในกองบุราภิบาล กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และได้ก่อสร้างการไฟฟ้าเทศบาลเมืองนครปฐมขึ้น เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประชาชนเป็นแห่งแรก เมื่อปี 2473 และแพร่หลายไปสู่หัวเมืองต่าง ๆ และมีการปรับปรุงโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงยกฐานะองค์กรกระทั่งได้รับการสถาปนาเป็น “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2503 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2503 เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่ให้บริการระบบไฟฟ้าให้กับประชาชนในทุกจังหวัด (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ)
นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า เนื่องในวาระครบรอบ 62 ปี ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในวันที่ 28 กันยายน 2565 นี้ จึงได้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปประจำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คณะกรรมการ คณะผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมถึงประชาชน พุทธบริษัท ได้กราบไหว้สักการะบูชา น้อมรำลึกถึงพระพุทธคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และน้อมนำพระธรรมคำสอนอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่าของสังคมและประเทศชาติ
นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า สำหรับหอพระพุทธรูปประจำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณลานด้านหน้าอาคาร 50 ของสำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บนพื้นที่ประมาณ 570 ตารางเมตร ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก หุ้มด้วยหินอ่อนและหินแกรนิต เป็นทรงร่วมสมัยที่รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยพร้อมคงภาพลักษณ์ความทันสมัยที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เน้นการประสานกลมกลืนกับอาคารสถานที่โดยรอบ ได้แก่ ศาลพระภูมิเจ้าที่ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และอาคารสำนักงาน มีการใช้พรรณไม้ท้องถิ่นหรือพรรณไม้มงคลให้ร่มเงาร่มรื่นโดยรอบบริเวณ มีกำหนดแล้วเสร็จในเบื้องต้น ซึ่งจะมีพิธีเปิดหอพระและอัญเชิญพระพุทธรูปเข้าประดิษฐานในหอพระ ภายในวันที่ 28 กันยายน 2565 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 62 ปีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
“กระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญและกำกับดูแลให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ได้รับการบริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (ไฟฟ้า) ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้ได้มีระบบไฟฟ้าใช้อย่างมีคุณภาพและเพียงพอในการดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยให้มีศักยภาพสูงในทุกด้าน ทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านอุตสาหกรรม ควบคู่การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) โดยได้กำหนดภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ในปี 2565 ในด้านการเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะด้านสาธารณูปโภค ด้วยการขับเคลื่อนภารกิจด้านไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง รองรับเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
Leave a Reply