ปลัด มท.เน้นย้ำวิทยากรประวัติศาสตร์ประจำท้องถิ่น คือ ครูจิตอาสาผู้ร่วมกันสร้างความรักสามัคคีและความกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดิน

วันนี้ (19 เม.ย. 67) เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนเพชรบุรี ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ปี 2567 รุ่นที่ 15 โดยได้รับเกียรติจากนายกองเอก ธารณา คชเสนี (ครูป๊อด) นายหมวดตรี น้ำเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ (ครูปั๊ม) ดร.ลักษิกา เจริญศรี (ครูป้ายู) ร่วมเป็นวิทยากร โอกาสนี้ นายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นางวันเพ็ญ มังศรี นายธรรมนูญ ศรีวรรธนะ นางสาวเบญจวรรณ มีเผือก หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ร้อยตรี สรมงคล มงคละสิริ ผู้อำนวยการสถาบันดำรงราชานุภาพ นายวีระพงษ์ อ่างทอง ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนเพชรบุรี และผู้เข้ารับการศึกษาอบรมจากจังหวัด 4 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี และสมุทรสงคราม รวมกว่า 84 คน ร่วมรับฟัง

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและดีใจอย่างยิ่งที่ตนได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมวิทยากรเพื่อทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ปี 2567 รุ่นที่ 15 จาก 19 รุ่น ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมที่จะทำให้ทุกท่านผู้มีความมุ่งมั่นที่จะเป็น “ครูจิตอาสา” ผู้ที่ตระหนักรู้ถึงสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคง คือ การทำให้คนในสังคมไม่ลืมรากเหง้าและไม่ลืมบุญคุณของบรรพบุรุษ ด้วยการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่นตลอดชีวิตในลักษณะจิตอาสา จึงนับเป็นเรื่องที่ดียิ่งที่ทุกท่านต่างมาเข้ารับการอบรมด้วยความตั้งใจในการตอบแทนคุณแผ่นดินและบ้านเกิดเมืองนอนของเรา และที่สำคัญได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณครู 3 ป. ครูป๊อด ครูปั๊ม ครูป้ายู ผู้เป็นสามทหารเสือของพระราชา ที่ตนมั่นใจว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์ และจะได้กลับไปทำความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน อันสอดคล้องกับเป้าหมายที่กระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ด้วยความคิดที่จะทำให้ลูกหลานได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ทำให้ทุกคนเกิดความผูกพัน เกิดความกตัญญูกตเวที ดังพุทธศาสนสุภาษิต นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา : ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้คนในชาติได้รู้จักสำนึกในบุญคุณของบรรพบุรุษของเรา ที่คนรุ่นก่อนนั้นได้เสียสละเลือดเนื้อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานของพวกเรา

“เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานพระราชดำรัสต่อมหาสมาคม ที่สะท้อนถึงความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย และจะเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ความตอนหนึ่งว่า “เพราะเราจะพูดถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่บรรพบุรุษของเราสละชีวิตมาเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมาด้วยเลือดเนื้อ ด้วยชีวิต แต่เสียดาย …ไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์แล้วนะ…ตอนที่ฉันเรียนอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีประวัติศาสตร์อะไรเท่าไหร่ แต่เราก็ต้องเรียนประวัติศาสตร์ของสวิส แต่เมืองไทยนี่ บรรพบุรุษเลือดทาแผ่นดิน กว่าจะมาถึงที่ให้พวกเราอยู่ นั่งอยู่กันสบาย มีประเทศชาติ เรากลับไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์…อย่างที่อเมริกาถามไปเขาก็สอนประวัติศาสตร์บ้านเมืองเขา ที่ไหนประเทศไหน เขาก็สอน แต่ประเทศไทยไม่มี ไม่ทราบว่าแผ่นดินนี้ รอดไปอยู่จนบัดนี้เพราะใคร หรือว่ายังไงกัน อันนี้น่าตกใจ ชาวต่างประเทศยังไม่ค่อยทราบว่า นักเรียนไทยไม่มีการสอนประวัติศาสตร์ชาติเลย” ซึ่งพระราชดำรัสองค์นี้ สะท้อนให้เห็นว่า พระองค์ทรงตระหนักและให้ความสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยที่จะมีผลต่อความมั่นคงของชาติ ที่พวกเราต้องน้อมนำมาศึกษา ทำความเข้าใจ และยึดเป็นหลักชัยในการหนุนนำให้พวกเรามีกำลังใจไปกระตุ้นให้พื้นที่ของเราไม่ลืมเลือนที่จะพูดคุย เรียนรู้ ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ชาติไทยและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้กับลูกหลาน” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อไปอีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ในการทำให้ประเทศชาติมั่นคงและประชาชนมีความสุข ดังพระปฐมบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 62 ความว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” ซึ่งต่อมาพระองค์ท่านยังได้พระราชทานพระราชดำรัสขยายความพระปฐมบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 63 ความว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งการทำให้ “ประเทศชาติมั่นคงและประชาชนมีความสุข” ได้นั้น ทรงชวนให้พวกเราร่วมกัน “แก้ไขในสิ่งผิดและสืบสานพระราชปณิธานภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งการแก้ไขสิ่งผิดที่เกิดขึ้นในสังคมไทย พระองค์ได้พระราชทานโครงการจิตอาสาพระราชทาน โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน และโครงการพระราชดำริมากมาย เพื่อให้เราทุกคนช่วยกันแก้ไขในสิ่งผิด รื้อฟื้นสิ่งที่ดีให้กลับคืนมาสู่สังคมไทย

 

“เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งมั่นในการสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงมีพระราชดำรัสที่ขยายความถึงคำว่า “ประวัติศาสตร์” ที่ได้พระราชทานแก่เยาวชนโครงการค่ายผู้นำเยาวชนจิตอาสา หลักสูตรการฝึกปฏิบัติและดูงานเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศ รุ่นที่ 1 ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า “ประเทศชาติก็คือบ้าน แบ่งเป็นพื้นที่ต่าง ๆ สังคมต่าง ๆ ก็ลงมาอยู่ที่พื้นฐานก็คือครอบครัวและลงมาอยู่ที่ตนเอง บ้านเมืองของเรา ประเทศของเรา หรือบ้านหรือครอบครัวของเราเนี่ย จะมีความสุขปลอดภัย น่าอยู่ สบาย มันก็ขึ้นกับคนรุ่นเราในอนาคต…แต่ที่สำคัญ คือ เราต้องเอาบทเรียนมาใช้…เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพราะเราคืออนาคต ประวัติศาสตร์มาปัจจุบัน ปัจจุบันก็คืออนาคต ปัจจุบันถือไมโครโฟน พอวางลงก็เป็นอดีต เมื่อเราจับไมโครโฟนมาใหม่ก็เป็นปัจจุบัน…ถ้าเราอยากเรียนลัด ก็ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาให้มาก ว่าสมัยก่อนมันเป็นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้มันเป็นอย่างนั้น แล้วปัจจุบันเราจะทำอย่างไรให้เรามีความรู้ มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่จะรักษาประเทศชาติบ้านเมือง อย่างน้อยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นกำลังใจให้…”” สะท้อนให้เห็นว่าประวัติศาสตร์มีทั้ง “แบบแคบ” คือเรื่องส่วนตัว และ “แบบกว้าง” คือเรื่องชาติบ้านเมือง ซึ่งพระองค์ท่านทรงมีพระราชประสงค์ให้เราเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม และการเรียนประวัติศาสตร์จะทางลัดให้เราได้นำไปวิเคราะห์เพื่อเป็นบทเรียนในการปฏิบัติตนและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญของการเข้ารับการฝึกอบรมในวันนี้ หากเราทุกคนทำปัจจุบันให้ดีที่สุดตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตนมั่นใจได้ว่าทุกคนจะเป็นทหารเสือของพระราชา ผู้สนองแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เป็นอย่างดีแน่ เพราะทุกท่านคือครูจิตอาสาที่จะลงมือทำสิ่งดีต่อส่วนรวมโดยไม่มีใครสั่ง ด้วยการมุ่งมั่นตั้งใจนำสิ่งที่ดีจากการฝึกอบรมไปต่อยอดขยายผลให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ดังที่กระทรวงมหาดไทย ได้ขับเคลื่อนการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยตามบันทึกความร่วมมือ “แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย สร้างจิตสำนึกความเป็นไทย” ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการอุดมศึกษาฯ และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) จึงนำมาสู่การดำเนินโครงการฝึกอบรมผู้บอกเล่าถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยได้รับการสนับสนุนวิทยากรครู 3 ป. จากศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.พระราชทาน) มาฝึกอบรมครูจิตอาสาทั่วประเทศ เพื่อสร้างครูผู้ถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องราว เกิด “ครู ก” ไปขยายผลสร้าง “ครู ข” เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้กับพวกเรา ในการสนองแนวพระราชปณิธาน “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข” ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ต้องคู่กัน

นายสุทธิพงษ์ ยังได้กล่าวอีกว่า ขอให้พวกเราทุกคนช่วยกันทำหน้าที่เป็นทหารเสือของพระราชา ช่วยกันสนองแนวพระราชปณิธานที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานพระราชดำรัสที่ตอกย้ำความสำคัญที่ให้ลูกหลานได้เรียนรู้เรื่องราวของบรรพบุรุษ และสิ่งที่ดีด้วยจิตอาสา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดได้บูรณาการใช้งานครูจิตอาสา โดยจัดให้มีเวทีให้ทุกท่านได้ถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องราวทั้งในการประชุมกรมการจังหวัด กรมการอำเภอ ประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนใช้วิทยุชุมชน หอกระจายข่าว รวมถึงการอบรมในสถานพินิจหรือเรือนจำ เพื่อขยายผลให้เกิดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยของท้องถิ่นเรา นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้กำหนดให้สถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ จริยธรรม และพลเมืองดี โดยลดเวลาเรียน สร้างเวลารู้ ให้กับเด็กเยาวชน ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เป็นต้นไป

“ขอให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมทุกท่านได้หลอมรวมจิตใจเป็นทหารเสือของพระราชาและครูจิตอาสา บอกเล่าประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ให้คนในครอบครัว โรงเรียน ชุมชน หมู่บ้าน ร่วมกัน Change for Good ทำสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเรา ขอเป็นกำลังใจให้พวกเราได้รับสิ่งที่ดี ช่วยกันผนึกกำลังทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย ขับเคลื่อนส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยประจำท้องถิ่น ทำให้ประเทศไทยแห่งนี้มีคนที่รักและกตัญญูต่อแผ่นดินและบรรพบุรุษ ตลอดจนช่วยกันตอบแทนคุณแผ่นดินเหมือนที่พวกเราทำในวันนี้ ทุกท่านจะเป็นกำลังสำคัญด้วยการทำหน้าที่บอกเล่าถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไทยสู่ทุกอำเภอ ตำบล ชุมชน ทุกพื้นที่และทุกโอกาส ร่วมกันทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุขสมดังพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปด้วยกัน” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย

Leave a Reply