ขอระงับ!! โครงการธรรมนาวาวัง

วันที่ 30 กันยายน 67   มีรายงานว่า การขับเคลื่อนโครงการ “ธรรมนาวา วัง”  ได้ถูก “ร้องขอ” ให้หยุดการแจกจ่ายสู่คณะสงฆ์และประชาชนแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับ “พระมหานรินท์ นรินฺโท ป.ธ.9” เจ้าอาวาสวัดลาสเวกัส ที่ระบุว่า หนังสือโครงการธรรมนาวาวัง ต้องระงับแจกจ่าย ด้วยเหตุผล 5 ประการ ตามที่ ศาสตราจารย์ ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต ได้ระบุเอาไว้ในเวทีสัมมนา 77 ปี คณะพุทธศาสตร์ มจร. ณ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุผลทั้ง 5 ประการนั้น ได้แก่

1.ห้ามแจกหนังสือต่อ

2.ห้ามจาบจ้วงพระไตรปิฎก

3.ห้ามสอนว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้นั่งสมาธิ

4.ห้ามต่อต้านพระพุทธรูป

5.ห้ามทำตัวเทียบสังฆราช

เหตุผลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า โครงการธรรมนาวาวัง เป็นโครงการที่ผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปลาย คือไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไม “พระต้น” จึงเป็นคนเขียนหนังสือชุดนี้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อบรรดาผู้รู้ทั่วประเทศได้อ่านก็พบความผิดพลาดบกพร่องมากมาย ลำพัง ศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ เพียงคนเดียว ก็เจอถึง 5 ประเด็นใหญ่ ถ้าให้พระทั่วประเทศวิจารณ์ก็คงไม่มีชิ้นดี

มีปัญหาก็คือว่า โครงการนี้ถูกอ้างว่า “เป็นโครงการหลวง” โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นเจ้าของโครงการ ขับเคลื่อนผ่านคณะองคมนตรี โดยมีเจ้าคุณพระสินีนาฏพิลาสกัลยาณี เป็นประธานดำเนินงาน แต่ข้อเท็จจริงจะเป็นประการใดนั้นก็ยังไม่ชัดเจน แต่ลำพังการที่มีองคมนตรีนำเอาหนังสือและโปสเตอร์ของโครงการนี้ ไปถวายพระสังฆาธิการทุกระดับ นับตั้งแต่กรรมการมหาเถรสมาคมลงมา ก็ทำให้พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ “อึดอัด” เกิดความลำบากใจที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้น อยู่ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็น “อัครศาสนูปถัมภก และทรงเป็นพุทธมามกะ” ทั้งยังทรงมีพระราชอำนาจในการพระราชทานสมณศักดิ์และการแต่งตั้งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ

แต่งานที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย เช่นโครงการธรรมนาวาวัง อันถูกเสนอกึ่งบังคับให้เป็นแบบเรียนและปฏิบัติสำหรับทั้งพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศนั้น ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบรับรองจากหน่วยงานใดในทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นกรมการศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือแม้แต่มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย มีพระสงฆ์เถรานุเถระทั้งสายปริยัติและปฏิบัติเป็นจำนวนมากอยู่ในสังกัด แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการนี้เลย

แบบนี้แหละ ที่ ศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต กล่าวหาพระต้นว่า “ทำตนประหนึ่งสมเด็จพระสังฆราช” ซึ่งภาพที่ปรากฏออกไปในสาธารณชนนั้น ทำให้พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ “รับไม่ได้” กับทั้งพฤติกรรมและคำสอนของพระทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ หรือพระต้น เกิดเป็นกระแสต่อต้านเต็มไปหมด

แต่ทั้งหมดก็ติดอยู่ที่ “สำนักพระราชวัง” ว่าจะทรงวินิจฉัยอย่างไร ในกรณีที่พระสงฆ์สามเณรทั่วประเทศไม่ยอมรับโครงการนี้ ทางออกนั้นมีหลายทาง เช่น

1.มอบโครงการให้คณะสงฆ์ โดยมหาเถรสมาคม เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งควรต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลจากมหาเถรสมาคมด้วย

2.ทรงถวายพระบรมราชูปถัมภ์ “เป็นการส่วนตัว” ของพระทวีวัฒน์ เหมือนสำนักปฏิบัติต่างๆ ที่บูรพมหากษัตริย์ทรงมีพระราชศรัทธาเป็นการส่วนพระองค์ ก็ทรงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์เฉพาะรูปนั้นๆ

ทั้งนี้ ที่เป็นปัญหา ก็เพราะว่า ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ที่พระมหากษัตริย์จะทรงนำเอาโครงการของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มาเป็นโครงการสาธารณะระดับประเทศ เกณฑ์ให้พระสังฆาธิการระดับสูง ทั้งพระราชาคณะ พระเปรียญ ต้องไปนั่งรับนโยบายในการเผยแผ่โครงการนี้

ทั้งนี้ หากไม่มี “พระราชอำนาจ” กำกับ ก็รับรองว่าไม่มีพระสังฆาธิการ และพระราชาคณะรูปใดไปร่วมงาน

พระราชาคณะและพระสังฆาธิการ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า “เกรงใจพระเจ้าอยู่หัว” ก็ถือว่าสุดแล้วสำหรับประเทศไทยในเวลานี้

ด้วยเหตุและผลตามที่กล่าวมานี้ จึงเห็นว่า สมควรต้องระงับโครงการธรรมนาวาวังเอาไว้ก่อน รอให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางสร้างสรรค์อย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรมแล้ว จะเอาอย่างไรก็ค่อยมาว่ากัน ถือว่าถอยกันคนละก้าว ขืนดึงดันจะดำเนินโครงการต่อไปโดยไม่ฟังเสียงใคร ก็อาจจะมีอะไรที่คาดไม่ถึง

 ทั้งหมดนี้ต้องขอย้ำว่า มิได้ตั้งใจจะขัดขวางโครงการที่สำนักพระราชวังทรงมีพระราชศรัทธา แต่ได้รับฟังมาจากพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ จึงสะท้อนออกมาสู่สาธารณชน

Leave a Reply