‘ปลัดเก่ง’ชื่นชมรัฐบาล! ทำให้’คนไทยไร้สัญชาติ’ มีสัญชาติ

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนที่ 41 โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก “Suttipong Juljarern” ระบุว่า มติ ครม.เมื่อ 29 ตุลาคม 2567 คือ การสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการช่วยทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สิ่งดีงามที่ต้องชมเชยนายกรัฐมนตรี และ ครม.โดยแท้

ระหว่างผมพักเหนื่อยจากการขุดดินถากหญ้า รดน้ำต้นไม้ในพื้นที่บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง ทองหล่อ 21 อันเป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร มีอาหารปลอดภัยรับประทาน ลดรายจ่าย ได้ออกกำลังกาย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ได้เปิดดูข่าวจากมือถือ โดยเฉพาะข่าวมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่มีคนมาคัดค้านฯ โดยปัจเจกบุคคล และบางส่วนก็มาเป็นกลุ่ม ตามปรากฏเป็นข่าว

ผมเองอยากจะกราบเรียนว่า เรื่องนี้จริงๆ แล้วยาวนานมาเป็นร้อยปีแล้ว กับสิ่งที่ผิดและทำให้ชีวิตเพื่อนมนุษย์คนไทยด้วยกันเสียโอกาสดีของชีวิตในการเป็นคนไทยที่ได้ช่วยเหลือดูแลครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ …

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงค้นพบปัญหานี้ มาก่อนปี 2506 อย่างแน่นอน เพราะในปี 2506 ทรงแก้ไขปัญหาคน (ไทย) ไร้สัญชาติ ไร้บัตรประจำตัวประชาชน ด้วยการจัดทำเหรียญลักษณะคล้ายเหรียญบาท ด้านหน้าเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ครึ่งพระองค์ มีพระนาม “ภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9” ด้านหลังเหรียญจารึก “ที่ระลึกสำหรับชาวเขา” มีรูปแผนที่ประเทศไทยและตอกอักษรย่อของจังหวัด เช่น ชม หมายถึงเชียงใหม่ , ชร หมายถึง เชียงราย ตามด้วยหมายเลข 6 หลัก เพื่อมอบให้คนที่อยู่ในพื้นแผ่นดินไทยมาแต่เก่าก่อน แต่ไม่มีสัญชาติไทย แต่เขาคือ พสกนิกรชาวไทย ในกาลต่อมาผู้ได้รับเหรียญพระราชทานนี้บางคนก็ได้รับบัตรประจำตัวประชาชน

ปฐมบทนี้ดูจากบทความที่ผมค้นหาจากมือถือ (Google) ที่ส่งมาข้างต้นได้ แต่หลังจากนั้นกระบวนการแก้ไขโดยฝ่ายบ้านเมือง

ตามแนวพระราชดำรินั้นก็เป็นไปอย่างล่าช้า ดังที่ทราบๆ กันอยู่ ครั้นท่านนายกรัฐมนตรีท่านมีดำริแก้ไขในสิ่งผิด เพื่อให้พสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีความสุขจากการได้รับเอกสารหลักฐานการเป็นคนไทย อย่างที่ควรจะได้เป็นในเวลาอันรวดเร็วและถูกต้องตามกฎหมายด้วย จึงควรค่าแห่งการที่ต้องยกย่องชมเชย เหมือนที่ UNHCR ที่ดูแลผู้ไร้สัญชาติ และผู้อพยพทั่วโลกได้ชมเชยว่าเป็นประวัติศาสตร์ของโลกที่รัฐบาลสามารถช่วยเหลือให้ประชาชนจำนวนมากที่สุดในโลกที่เคยมีรัฐบาลในโลกนี้ทำมา

มีข้อความที่คนคัดค้านและคนสนับสนุนยังใช้ข้อความที่คลาดเคลื่อนอยู่บ้าง คือ ระบุว่าคน 480,000 คนเศษ ตามมติ ครม. เป็นผู้อพยพอยู่ในไทยมานาน ที่ว่าคลาดเคลื่อน คือ กลุ่มคนพวกนี้จำนวนมากอยู่มาตั้งแต่สมัยอยุทธยา รัตนโกสินทร์ตอนต้นต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันก็มาก เช่น ชาวเขา , ชาวมอแกน , ชาวไทยเกาะกง บางส่วนก็อพยพมาจริงและรัฐบาลไทยใช้เป็นกันชนเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากลัทธิการเมืองการปกครองของต่างชาติ เช่น ที่เบตง ยะลาที่แม่สลอง เชียงราย ที่เขาค้อ เพชรบูรณ์ มีลูกมีหลานอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน รวมเป็นล้านคน ที่ทางท่านนายอำเภอ ได้ดำเนินการจัดทำทะเบียนบ้าน ทะเบียนบุคคล ไว้อย่างถูกต้อง ใช้เวลา ยาวนานมากกว่า 30 ปีที่สามารถอนุมัติให้ได้รับสัญชาติไทย จนเหลือ 480,000 คนเศษที่ ท่านนายกรัฐมนตรีมีภาวะผู้นำสั่งการให้หน่วยงานความมั่นคงช่วยกันลดขั้นตอน..กระบวนการ..เพื่อให้การช่วยเหลือคนไทยผู้เดือดร้อนเหล่านี้ได้พ้นจากความการไม่สามารถเข้าถึงบริการของรัฐ การไร้สิทธิ ไร้โอกาสในการศึกษา การประกอบอาชีพ ให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็วภายใน 1 – 2 ปี

ประชาชนคนเหล่านี้ อยู่ในพื้นแผ่นดินไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารมาเนิ่นนานแม้เขาจะมีความแตกต่างด้านภาษา วัฒนธรรม ประเพณี จากคนกรุงเทพฯ (ภาคกลาง) แต่เขาก็คือ คนไทย (ไร้ราก ไร้รัฐ) ที่ทุกข์ทรมานมาน เขาคือ คนที่ไม่ว่าราชการจะดูแลหรือไม่ดูแล เขาคือ คนไทย การไม่ยอมรับทางเอกสารบัตรประจำตัวประชาชน หรือทะเบียนบ้าน เป็นการสร้างภาระให้สังคมที่ควรจะได้ทรัพยากรบุคคลเหล่านี้มาช่วยพัฒนาประเทศชาติในฐานะทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า เพราะราชการเองในทางปฏิบัติก็ไม่อาจขับไล่ใสส่งให้คนเหล่านี้ออกนอกประเทศได้ เพราะถิ่นที่อยู่ของเขาเหล่านั้น เป็นผืนแผ่นดินของเขาเหมือนกับสวนผัก ผลไม้ที่ทองหล่อ 21 เป็นของผมและครอบครัว ….การทำตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 จึงเป็นสิ่งที่มีคุณูปการต่อคนไทยโดยรวม เป็นคุณูปการต่อประเทศชาติ และถ้าการทำดี เช่นนี้ จะทำให้ท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร) และ ครม.ได้คะแนนนิยม จากการทำดี ก็ควรให้ได้ไป

ผมในฐานะคนเกษียณอายุราชการแล้ว ขอวิงวอนบุคคล คณะบุคคลที่คัดค้านมติ ครม.เรื่องการแก้ไขในสิ่งผิดที่ทำให้คนไทยไร้สัญชาติมานาน ขอให้ช่วยกันศึกษาข้อมูลดีๆ อย่าทำบาปโดยรู้เท่าไม่ถึงการ ทำให้เกิดสับสน ล่าช้า เลย อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 61 ปี ถ้านับวันพระราชทานเหรียญบัตรประจำตัวประชาชน เป็นจุดเริ่มต้น

หลายต่อหลายครั้งที่ผม พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ และข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯ ได้รับกระแสรับสั่งจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราช กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ถึงปัญหานี้ด้วยทรงห่วงใยถึงทุกข์ร้อน ที่จำได้แม่นยำครั้งล่าสุด คือ 14 ตุลาคม 2567 ที่ผมนำคณะเจ้าอาวาสและกรรมการวัดชีปะขาวหาย เมืองพิษณุโลก เข้าเฝ้า และที่สำคัญพระราชปณิธานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการแก้ไขในสิ่งผิด สืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถ เพื่อทำให้พสกนิกรชาวไทยมีความสุข ส่งผลให้ประเทศชาติมั่นคง ก็จะได้เป็นจริงในปีมหามงคลนี้อีกหนึ่งเรื่อง

ขอเป็นกำลังใจให้ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีหน้าที่….ที่ต้องดำเนินการตามมติ ครม.นี้…มีกำลังใจกำลังกายเร่งดำเนินการงานที่เป็นบุญกุศลของชีวิตให้สำเร็จโดยเร็ววันด้วยครับ รีบๆ ทำเถิดครับก่อนจะไม่มีโอกาสทำ

Leave a Reply