“ณพลเดช” ชี้ปัญหาฆาตกรรมพระภิกษุสามเณรชายแดนภาคใต้ ปมลึกไม่ต่างจาก ตึก สตง. ถล่ม

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 นายณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิยม เวชกามา) และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวถึงกรณีที่เกิดเหตุการณ์คนร้ายเข้าประทุษร้ายสามเณร ณ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อวันอังคารที่ 22 เมษายน 2568 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีสามเณรมรณภาพ 1 รูป และอาพาธ (บาดเจ็บ/ป่วย) 1 รูป ตนเห็นว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ และเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทั้งพี่น้องชาวมุสลิมและพี่น้องชาวไทยพุทธในพื้นที่ต่างก็ได้รับผลกระทบและเผชิญชะตากรรมจากการกระทำอันโหดร้ายของผู้ก่อการร้ายเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ตนมีความเห็นว่า พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจมีปัญหาเชิงข้อกฎหมายที่ไม่สามารถบังคับใช้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยตรง รวมถึงปัญหาในการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งจากที่ผ่านมาพบว่า การดำเนินการด้านการข่าวและการบังคับใช้กฎหมายยังไม่สามารถนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง

จากสถานการณ์และความเห็นดังกล่าว ผมจึงเห็นว่าควรมีการดำเนินการใน 5 มาตรการหลักเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมาตรการเหล่านั้นประกอบด้วย:

1.  การบัญญัติกฎหมายเป็นเขตพื้นที่เฉพาะ: กำหนดให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตพื้นที่พิเศษทางกฎหมาย เพื่อเพิ่มบทลงโทษในการดำเนินคดีกับผู้ที่ก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย เพื่อให้การปราบปรามและการลงโทษผู้กระทำผิดมีความเด็ดขาดและเป็นมาตรการยับยั้งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2.  จัดตั้งทีมร่วมไทยพุทธและมุสลิมเพื่อรางวัลนำจับ: ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างชุมชน โดยการจัดตั้งทีมที่ประกอบด้วยพี่น้องชาวไทยพุทธและชาวมุสลิมในพื้นที่ เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกในการให้ข้อมูลและประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมทั้งกำหนดให้มีรางวัลนำจับสำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุมผู้ก่อการร้าย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ของตนเอง

3.  เพิ่มศาสนทายาทและสนับสนุนจากส่วนกลาง: ส่งเสริมให้มีการเพิ่มจำนวนศาสนทายาท (พระภิกษุ สามเณร) ในพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อดำรงไว้ซึ่งสถาบันศาสนาและเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ควบคู่ไปกับการให้การสนับสนุนด้านต่างๆ จากส่วนกลางอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ทั้งด้านงบประมาณ การรักษาความปลอดภัย และการประสานงาน เพื่อให้สถาบันศาสนามีความเข้มแข็งและสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างปลอดภัย

4.  เพิ่มศักยภาพการส่งเสริมการลงทุน: พัฒนาและส่งเสริมศักยภาพด้านการลงทุนในพื้นที่อย่างจริงจัง เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น การพิจารณาจัดตั้งโครงการขนาดใหญ่ อาทิ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ หรือการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการศึกษา เพื่อดึงดูดการลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ และลดช่องว่างทางเศรษฐกิจซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งของปัญหา

5.  จัดตั้งทีมตำรวจเอกชนเสริมทัพ: พิจารณาแนวทางการจัดตั้งทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภาคเอกชน หรือที่เรียกว่า “ตำรวจเอกชน” เพื่อเข้ามาเสริมกำลังและศักยภาพของเจ้าหน้าที่รัฐในการทำงานเชิงรุกเพื่อปราบปรามอาชญากรรมและการก่อการร้ายในพื้นที่ โดยอาจเน้นบทบาทในการลาดตระเวน การเฝ้าระวัง หรือการสนับสนุนภารกิจของเจ้าหน้าที่หลัก เพื่อให้การดูแลความปลอดภัยครอบคลุมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์ จะพบว่าในอดีตเคยมีชาวจีนฮ้ออาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก และมีบทบาทสำคัญในด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่ภายหลังกลุ่มชาวจีนจำนวนมากได้ย้ายออกจากพื้นที่ไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการคานอำนาจหรือความสมดุลระหว่างกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ตนเห็นว่าประเด็นทางประวัติศาสตร์นี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อระดับความรุนแรงในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน ปัญหาเหล่านี้เปรียบเสมือนปัญหาที่ถูกซ่อนไว้ใต้พรมมาเป็นเวลานาน และอาจรอวันที่จะปะทุขึ้นและสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ เหมือนเช่นเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม ที่เป็นผลมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน

“อย่างไรก็ตาม ผมขอกราบอนุโมทนาในพระเมตตาของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงปลงพระธรรมสังเวชต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทรงมีพระเมตตาโปรดประทานผ้าไตร 1 ไตร พร้อมไม้จันทน์ 1 ช่อ สำหรับการนำไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลศพสามเณรผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์ (ปัจจัย) เป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เจ้าภาพศพสามเณรพงษ์กร ชูมาปาน เพื่อช่วยในการบำเพ็ญกุศลศพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและความเมตตาต่อพุทธศาสนิกชนในพื้นที่อย่างยิ่ง” นายณพลเดช กล่าว

Leave a Reply