บทสัมภาษณ์ 2 คำถาม “อดีตพระพิมลธรรม” และย้อนรอยวาทกรรม “กูไม่นึกเลยว่า พระผู้ใหญ่จะใช้เล่ห์ลิ้นขนาดนี้” 

วันที่ 8 พ.ย. 64  วันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของบุคคลผู้เป็นประวัติศาสตร์แห่งคณะสงฆ์ไทยและเป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็น “แบบอย่าง” ในการต่อสู้เพื่อรักษาไว้ธำรงไว้ซึ่งเกียรติแห่งความเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระธรรมวินัยที่ไม่ยอมอ่อนข้อต่อฝ่ายบ้านเมือง แม้ตนเองจะถูกใส่ความต้องโทษติดคุกก็ไม่ยอมสละความเป็นสมณเพศของตนเองตามความต้องการของฝ่ายบ้านเมืองและอริราชศัตรู ด้วยการไม่เปล่งวาจาสึก เพื่อรักษาความเป็น “สมณเพศ” ไว้ตามพระวินัย ซึ่งเป็นแบบอย่างให้อนุชนรุ่นหลังได้ปฎิบัติสืบทอดกันมาตราบเท่าทุกวันนี้

” อดีตพระพิมลธรรม” หรือ  “หลวงพ่ออาจ อาสภเถระ”  หลายปีมานี้สถาบันสงฆ์เกิดความปั่นป่วน ฝ่ายการเมืองรุกคืบเข้ามายังศาสนจักร เพื่อต้องการเข้ามาควบคุมและกำหนดทิศทางสิ่งที่ฝ่ายอาณาจักรต้องการ สังคมสงฆ์ต้องสูญเสียพระภิกษุที่เป็นกำลังพระศาสนาไปหลายรูป บางรูปเป็นถึงระดับกรรมการมหาเถรสมาคมถูกจับติดคุก บางรูปทั้งต้องลี้ภัยออกไปจากประเทศ บางรูปต้องสึกออกไป เพื่อป้องกันภัยที่จะมาถึงตัว เนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบ 118 ปีแห่งชาตกาลของอดีตพระพิมลธรรมหรือสมณศักดิ์หลังสุดคือ “สมเด็จพระพุฒาจาย์” ทีมข่าว “thebuddh” ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์และประวัติศาสตร์ที่มีผู้คนได้รวบรวมไว้ ดังนี้

บทสัมภาษณ์ พระอาจ อาสภเถระ (อดีตพระพิมลธรรม ต่อมาเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์) วัดมหาธาตุต่อกรณีการบวชของจอมพลถนอม กิตติขจร จากประชาชาติ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2519 มี 2 คำถามที่น่าสนใจที่นอกเหนือไปจากการบวชของจอมพลถนอม คือ 1.ความรู้สึกที่ถูกถอดสมณศักดิ์ 2. ความเห็นการให้สมณศักดิ์

1.หลวงพ่อ มีความรู้สึกอย่างไรกับการถูกกระทำโดยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ร่วมกับจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อคราวถูกถอดสมณศักดิ์เพราะข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์

     “หลวงพ่อรู้สึกเกิดเป็นกรรมอย่างหนึ่ง ไม่เดือดร้อนอะไร สมัยนั้นทางรัฐบาลมีการระดมปราบปรามคอมมิวนิสต์ มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล มีบุคคลบางพวกเข้าใจผิดว่าหลวงพ่อเป็นหัวหน้าคอมมิวนิสต์ เพราะสมัยนั้นหลวงพ่อนำในการนั่งวิปัสสนากรรมฐานเพื่อหลับหูหลับตาจากคอมมิวนิสต์ เป็นการต่อต้านอย่างหนึ่ง เขาเลยนั่งจับฐานสงสัยว่ามีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ มันยากที่จะพูดว่า เขาทำถูกต้องหรือไม่ เพราะทำตามความเข้าใจของเขา ก็คงเป็นการยุติธรรม”

2.การให้สมณศักดิ์ แก่พระสงฆ์จะเป็นแนวทางให้เกิดความเหลื่อมล้ำในวงการของสงฆ์อย่าง
ไร
มันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อที่ดี ก็เพราะการถวายสมณศักดิ์เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งเพื่อบูชาพระที่กระทำคุณงามความดี การบูชาด้วยข้าวของเงินทอง หรือที่ดินศักดินา ก็ไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้
ส่วน ข้อเสีย ถ้าผู้ให้และผู้รับไม่มุ่งในการกระทำความดีความงามอย่างที่หวังกันแล้ว โดยเห็นว่าเป็นเรื่องของค่าจ้างรางวัลเลยเมาลาก เมายศ เหยียดหยามผู้อื่นว่าต่ำสูงกว่าเป็นการแตกแยกย่อมให้โทษ   

   


       เหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีความเกี่ยวพันระหว่างอาณาจักรและพุทธจักร กรณีของพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภพระมหาเถระระดับรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร ถูกจับกุมข้อกล่าวหาว่ากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ขณะกำลังดำรงภาวะเป็นพระภิกษุ

คณะตำรวจผู้จับกุมนำโดย ..เอื้อ เอมมะปาน อ้างว่าได้รับคำสั่งทางวาจาจาก ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปคุมขังที่สันติบาล ซึ่งทำให้ประชาชนส่วนมากเข้าใจว่าเหตุการณ์นี้ จอมพล สฤษดิ์เป็นผู้เหี้ยมโหด จับสึกพระมหาเถระผู้ใหญ่เพียงเพราะมีความเห็นต่างทางการเมือง ทำให้เป็นตราบาปของ จอมพล สฤษดิ์ตราบจนถึงทุกวันนี้

หากมีการเอ่ยถึงพระพิมลธรรม ต้องมีการพูดชื่อถึง จอมพล สฤษดิ์ในฐานะผู้กระชากผ้ากาสาวพัสตร์และยัดข้อหาคอมมิวนิสต์จนนำไปสู่การคุมขังพระพิมลธรรมที่สันติบาลเป็นระยะเวลา 5 ปี ก่อนที่ศาลทหารจะมีคำพิพากษาให้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่แท้จริงแล้วเหตุการณ์นี้มีเงื่อนงำที่ซับซ้อนอยู่มาก ขนาดที่ตัวพระพิมลธรรมเองยังไม่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำเองโดยตรง แต่ทำเพราะได้รับข้อมูลยุยงจากผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อตน ดังที่พระพิมลธรรมได้บันทึกไว้ว่า

เหตุการณ์ที่เกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วมานั้น มีบุคคลจำพวกหนึ่งสำคัญผิดไปว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากคณะรัฐบาลไทยเองซึ่งขณะนั้นเป็นโอกาสของรัฐบาลของ ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่ตามที่เป็นจริงนั้นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ที่ปรากฏออกมาให้คนภายนอกทราบโดยมากนั้น เป็นเพราะรัฐบาลต้องปฏิบัติตามหน้าที่ คือเมื่อมีผู้นำเรื่องขึ้นไปร้องเรียนว่าจะเป็นภัยแก่ประเทศแล้ว รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง จำจะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันประเทศให้เข้าไปสอบสวนหรือจับกุมคุมขัง แล้วแต่กรณี

จากบันทึกนี้ทำให้บ่งชี้ได้ว่าพระพิมลธรรมนั้นเชื่อว่ารัฐบาลถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ประสงค์ร้ายในการจัดการตนเอง ได้แก่กลุ่มพระสงฆ์ระดับสังฆมนตรี ดังที่ท่านบันทึกเหตุที่ข้าพเจ้าถูกจับกุมคุมขังว่า 

การที่ข้าพเจ้าถูกปลดจากตำแหน่งและถูกถอดถอนจากสมณศักดิ์ ตั้งแต่เมื่อปี .2503 มาแล้วนั้น ไม่ใช่เกิดจากรัฐบาลของชาติ หรือองค์พระมหากษัตริย์ของประเทศ แต่เกิดจากคณะสังฆมนตรีของสงฆ์ไทยโดยตรง

ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2503 พระพิมลธรรมถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนธรรมทางเวจมรรค และทำอัชฌาจารปล่อยสุกกะกับอดีตสามเณรและเด็กวัดที่เป็นลูกศิษย์ ซึ่งสมัครสอบเป็นพลตำรวจอยู่ในกรมตำรวจ พร้อมทั้งทางตำรวจได้นำเด็กนั้นมาเป็นพยาน เป็นเหตุให้พระพิมลธรรมถูกกล่าวหาว่าต้องอาบัติปฐมปาราชิก (เสพเมถุนถึงสีลวิบัติขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ไม่สมควรที่จะดำรงเพศเป็นบรรพชิตสืบต่อไปได้ ถูกพระบัญชาให้ออกจากตำแหน่งการปกครองทั้งปวง ถูกร้องให้ถอดถอนออกจากสมณศักดิ์ ทำให้พระพิมลธรรมต้องฟ้องศาลยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง นี้เป็นปฐมบทแห่งมหากาพย์การต่อสู้ของพระพิมลธรรมในครั้งนี้

ต่อจากนั้นมา 3 เดือน นายวีรยุทธ์ วัฒนานุสรณ์ ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญที่ให้การแก่ตำรวจในการกล่าวหาพระพิมลธรรมก็ได้สารภาพผิดต่อหน้าศาลยุติธรรมว่าข้าพเจ้าได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจริง และเพื่อรับบาปกรรมที่กระทำผิดไปแล้ว ตามวิธีการทางศาสนา ข้าพเจ้าได้กราบขมาโทษและขออโหสิกรรมแด่พระเดชพระคุณท่านต่อหน้าศาลแล้ว

 จึงขอโฆษณา  ที่นี้ว่า พระเดชพระคุณพระอาจ อาสโภ มิได้เคยประพฤติล่วงละเมิดสิกขาบทเป็นศีลวิบัติ ดังที่ข้าพเจ้าต้องกล่าวใส่ร้ายพระเดชพระคุณท่านแต่ประการใด ขออานุภาพแห่งการสำนึกผิดครั้งนี้ จงดลบันดาลให้จิตใจข้าพเจ้ามีแต่ความผ่องแผ้ว พ้นจากความหม่นหมองอันตามบีบคั้นจิตใจข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้เทอญ

ห้องพิจารณาคดีพระพิมลธรรม

เหตุการณ์นี้เป็นชัยชนะครั้งแรกในการแสดงความบริสุทธิ์ของพระพิมลธรรม แต่วิบากกรรมของท่านยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ ต่อมาถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นำไปสู่การบังคับสึกในที่สุด

วันที่ 20 เมษายน 2505 เวลาบ่าย ประมาณ 13.30 ขณะที่พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถรเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กำลังนั่งสนทนากับญาติโยมที่มาเยี่ยมอยู่นั้น ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นจับกุมพระพิมลธรรมโดยข้อหาว่า “มีการกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐและกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ และกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐบาลภายในราชอาณาจักร” อันเป็นความผิดอาญามีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต จากนั้นได้นำท่านไปคุมขังไว้ที่สันติบาล

ต่อมาในเวลา 20.15 กรมตำรวจก็ได้แถลงการณ์นำออกประกาศทางวิทยุกระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์ ถึงสาเหตุที่จับกุมอดีตพระพิมลธรรมในครั้งนี้ ต่อจากนั้นตำรวจได้นิมนต์พระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดพระนคร วัดสามพระยา และพระธรรมมหาวีรานุวัตร วัดไตรมิตรวิทยาราม มาสึกพระมหาอาจ เมื่อพระสังฆาธิการทั้ง 2 รูปมาถึง หลังจากที่สนทนาเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว พระพิมลธรรมได้เขียนหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมมีใจความว่า

กระผมขอเรียนด้วยความเคารพว่า ถ้าท่านเจ้าคุณก็ดี หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ขึ้นไปก็ดี ไม่มีเมตตากรุณาให้ความเป็นธรรมแก่กระผมตามที่ได้ขอความกรุณาแล้ว กระผมก็จะขอความกรุณาอีก คือไม่ยอมสึกตามข้อบังคับอันมิชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมายนั้น จะยอมเอาชีวิตบูชาพระรัตนตรัยไปจนถึงที่สุด ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดลุอำนาจเข้ามาแย่งชิงผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากร่างกายของกระผมแล้วไซร้ กระผมจะถือว่าผู้นั้นแย่งชิงเอาโดยผิดศีลธรรม และกระผมจะยังปฏิญาณเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดไป

ถึงแม้จะมีผู้มีใจโหดร้ายทารุณแย่งชิงผ้ากาสาวพัสตร์ของกระผมไป กระผมก็จะนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ชุดอื่นแทน ซึ่งกระผมมีสิทธิตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย จึงขอให้ท่านเจ้าคุณผู้รู้เห็นอยู่  ที่นี้ โปรดทราบและเป็นสักขีพยานให้แก่กระผม ตามคำปฏิญญานี้ด้วย

เมื่อถึงเวลาประมาณ 01.00 ของวันที่ 21 เมษายน 2505 หลังจากที่พระสังฆาธิการทั้ง 2 รูป ได้รับหนังสือไว้แล้ว พระธรรมมหาวีรานุวัตร มีความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่จึงได้ปลอบว่า “ขอให้ปฎิบัติตามด้วยดีเยี่ยงนักปราชญ์เหมือนอย่างที่เจ้าคุณใหญ่เคยปฏิบัติมาแล้ว เอาไปสู้คดีดาบหน้า ซึ่งหวังว่าเจ้าคุณใหญ่คงมีสติปัญญาเพียงพออยู่แล้ว

จากนั้น พระธรรมคุณาภรณ์ยกมือขึ้นไหว้พระพิมลธรรมแล้วพูดว่า “ผมขอผ้าเหลืองก็แล้วกัน” แล้วจึงค่อยๆ ปลดเปลื้องจีวรส่วนบน ส่วนพระธรรมมหาวีรานุวัตรเข้ามากราบที่ตักพระพิมลธรรมพร้อมช่วยเปลืองผ้าเหลืองส่วนล่างเพื่อเป็นการนำให้ตำรวจในการที่จะเปลื้องผ้าเหลืองออก ขณะที่ตัวอดีตพระพิมลธรรมอยู่ในกิริยาอาการนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้นวม หลับตา มือนับลูกประคำ ใจเจริญพระพุทธคุณ 108 บทด้วยจิตใจที่ไม่หวั่นไหว

นี้เป็นวิบากกกรรมที่ต้องเผชิญอยู่ในที่คุมขังถึงระยะเวลา 5 ปี และในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่นั้น นายอาจ ดวงมาลา (ตามที่เจ้าหน้าที่เรียกได้ประกาศความเป็นสมณสัญญาอยู่ คือ จะทำทุกอิริยาบถเหมือนเดิม เหมือนเป็นพระภิกษุทุกประการ เช่น การฉันอาหาร ต้องให้ตำรวจช่วยประเคน เป็นต้น เพราะถือว่าตนนั้นมิได้สึกแต่ประการใด เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบผ้าที่ครองเท่านั้น แม้ความเป็นพระก็ไม่ได้อยู่ที่ผ้า แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

เหตุการณ์ที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ ยิ่งทำให้อดีตพระพิมลธรรมกลับได้รับความศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณถึงการต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ของตน มีคณะศิษย์ไปเยี่ยมมากมายมิได้ขาด จนสันติบาลอันเป็นสถานที่ถูกคุมขังได้รับการขนานนามว่า สันติปาลาราม เสมือนเป็นวัด ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ในสันติบาลนั้น ก็ได้เขียนหนังสือสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอ

พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ)

สาเหตุที่อดีตพระพิมลธรรมเชื่อว่า จอมพล สฤษดิ์ นายกรัฐมนตรีมิได้เป็นตัวการในการจับสึกในครั้งนี้ เพราะว่าเบื้องต้นที่มีการกล่าวหาพระพิมลธรรมจนเกิดเป็นกระแสข่าวไปทั่วเมือง รัฐบาลได้แสดงเจตนาและนโยบายว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์จัดการกันเอง[8] ดังแถลงการณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรี มีใจความตอนหนึ่งว่า

นอกจากนี้พระพิมลธรรมยังเคยเขียนหนังสือร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีตลอด ไม่ว่าจะเป็นการขอความเป็นธรรม ชี้แจง และขอความอารักขา เป็นต้น

แต่ภายหลังรัฐบาลมีท่าทีเปลี่ยนไป ขัดต่อเจตนารมณ์ที่แสดงไว้ชัดในครั้งแรก เช่น มีการถวายบังคมทูลถอดสมณศักดิ์ต่อราชเลขาธิการ เป็นต้น นอกจากนั้นท่าทีของ จอมพล สฤษดิ์ก็มีทีท่าเปลี่ยนไปจากเดิม เช่นได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวพร้อมทั้งเปิดเผยรูปภาพพระพิมลธรรมนุ่งกางเกง สวมหมวก ใส่แว่นดำ ในชุดที่ลงไปชมเหมืองว่า “รูปนี้ก็ขาดจาก (ความเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วไม่ใช่หรือ?”

แต่ความจริงแล้วเมื่อ .2501 คณะสงฆ์ไทยได้เลือกพระพิมลธรรมเดินทางไปประชุมขบวนการส่งเสริมศีลธรรม ที่เรียกกันว่า ขบวนการ เอ็ม.อาร์.เอ.” ที่สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งยังได้เดินทางต่อไปอีกหลายประเทศ รวมทั้งเยอรมนี ซึ่งที่เมืองรัวส์ รัฐเอสเสน พระพิมลธรรมพร้อมด้วยผู้ติดตาม มี นายเสริม สุขสม ผู้ดูแลนักเรียนไทยในเยอรมนีตะวันตก นายวิรัช บุญประสิทธิ์ และ ระมหามนัส พวงลำเจียก ได้รับเชิญให้ลงไปชมเหมืองถ่านหิน ซึ่งทุกคนที่ลงไปจะต้องแต่งชุดป้องกันฝุ่นพิษ พระพิมลธรรมจึงต้องสวดชุดของเหมืองทับผ้ากาสาวพัสตร์ไว้ รูปถ่ายในชุดของเหมืองถ่านหินนี้เอง ได้เป็นหลักฐานสำคัญในการฟ้องพระพิมลธรรมในเวลาต่อมา

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้พระพิมลธรรมเชื่อว่าต้องมีผู้คอยยุยง จอมพล สฤษดิ์เป็นแน่ แต่ภายหลังนั้นหลังจากที่มีการแสดงหลักฐานต่างๆ ถึงความบริสุทธิ์ของอดีตพระพิมลธรรมมากขึ้น มีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมของเหล่าศิษยานุศิษย์ ทำให้ จอมพล สฤษดิ์ตาสว่างขึ้น รู้สึกว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นเป็นเครื่องมือของกลุ่มที่ริษยากลั่นแกล้งกัน พร้อมสำนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อท่านนั้นว่าเป็นเพราะตนเองนั้นมีส่วนร่วมด้วย

จึงมีความประสงค์ที่จะไปขอขมาพร้อมทั้งช่วยเหลือ ถึงขนาดที่ท่านได้กล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่ากูไม่นึกเลยว่า พระผู้ใหญ่จะใช้เล่ห์ลิ้นขนาดนี้ ให้กูหายเสียก่อน จะให้ความเป็นธรรม จะไปกราบขอขมาโทษ แต่ความประสงค์ของนายกรัฐมนตรีก็ไม่สมประสงค์ดังที่หมายไว้ เพราะในขณะนั้นตนเองป่วยจนถึงแก่อสัญกรรม ทำให้อดีตพระพิมลธรรมต้องเผชิญชะตากรรมต่อไป

หลังจากที่อดีตพระพิมลธรรมถูกขังไว้เป็นเวลาถึง 5 ปี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ เหล่าศิษยานุศิษย์ผู้นับถือพากันประท้วงร้องเรียนถึงความเป็นธรรมจนนำไปสู่การตัดสินของศาลทหาร พิพากษายกฟ้องรับรองความบริสุทธิ์ของท่าน ในวันที่ 30 สิงหาคม 2509 มีใจความว่า

ตามที่ศาลได้ประมวลวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฟ้อง และกล่าวหามาหลายข้อหลายประเด็นนี้ มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดๆ เลย พอที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำหรือน่าจะกระทำผิด การจับกุมคุมขังจำเลยนี้ย่อมเป็นที่เศร้าหมองและน่าสลดใจในวงการคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนมาก

ท่านประธานศาลฎีกาก็ดี พระเถระผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยก็ดี ซึ่งเป็นพยาน ต่างก็กล่าวเป็นทำนองเดียวกันว่าจำเลยนี้เป็นผู้ประกอบแต่กุศลกรรม กระทำกิจพระศาสนาแผ่ไพศาลไปทั้งในและนอกประเทศ ทั้งในทางปริยัติศาสนา และปฏิบัติศาสนา มีผลประจักษ์ชัดเป็นหลักฐานมาก ไม่เชื่อว่าได้กระทำผิด แต่กลับมาต้องถูกออกจากเจ้าอาวาส ถูกออกจากสมณศักดิ์ ถูกจับกุม ถูกบังคับให้สละเพศพรหมจรรย์ นับว่ารุนแรงที่สุดสำหรับพระเถระผู้ใหญ่ที่ปวงชนเคารพนับถือ

พระธรรมโกศาจารย์ ถึงกับกล่าวว่า คิดได้อย่างเดียวว่า เกิดขึ้นเพราะความอิจฉาริษยากันในวงการสงฆ์ หรือมิฉะนั้นก็เป็นกรรมเก่าของจำเลยเท่านั้นเอง พันโท ประเสริฐ สุดบรรทัด ผู้ฝักใฝ่ในธรรมผู้หนึ่งกล่าวว่า ตามที่จำเลยต้องคดีนี้ ได้สืบสวนด้วยตัวเองทราบเบื้องหลังโดยตลอด แต่จะเบิกความก็เกรงจะกระทบกระเทือนแก่วงการพระภิกษุสงฆ์และพระศาสนา  ขอสรุปว่า มูลกรณีทั้งหลายตามที่ทราบความจริงมา จำเลยถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรมจริงๆ ไม่ได้กระทำผิดตามกล่าวหา ดังนั้น ศาลจึงขอให้จำเลยระลึกว่าเป็นคราวเคราะห์หรือกรรมเก่าของจำเลยเอง หรือมิฉะนั้นก็เป็นการสร้างบาปของคนมีกิเลส ไม่ใช่ความผิดของผู้ใด แต่เป็นความผิดของสังสารวัฏเอง ศาลนี้รู้สึกสลดใจและเห็นใจจำเลย แต่เชื่อว่าจำเลยซึ่งอบรมอยู่ในพระศาสนามานาน คงจะซาบซึ้งดีในอุเบกขาญาณที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะเป็นกรรมทายาทรับผลของกรรมนั้น และคงจะตั้งอยู่ในคุณธรรมอันเป็นลักษณะของบัณฑิตในพระพุทธศาสนาสืบไป อาศัยเหตุผลและดุลพินิจที่ได้วินิจฉัยมา จึงพร้อมกันพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป

หลังจากนั้นอดีตพระพิมลธรรมได้นุ่งสบงครองจีวรพาดสังฆาฏิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นที่ปลื้มปีติโสมนัสแก่พุทธบริษัทที่มาประชุมฟังการพิจารณาครั้งนี้อย่างคับคั่ง มีพระภิกษุสามเณรประมาณ 1,000 รูป คฤหัสถ์ประมาณ 300 คน ล้นแน่นศาลไปหมด

จากเหตุการณ์ที่ศาลได้รับรองความบริสุทธิ์อดีตพระพิมลธรรมแล้วนั้น ผู้คนต่างศรัทธาต่ออดีตพระพิมลธรรมเป็นอย่างมาก มีการชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ท่าน เช่น การขอให้เพิกถอนพระบัญชาความผิดคืน การขอพระราชทานสมณศักดิ์กลับคืน ขอคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสดังเดิม เป็นต้น

ผลจากความบริสุทธิ์ในครั้งนี้ทำให้พระพิมลธรรมได้รับความเจริญงอกงามในทางพระพุทธศาสนา ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ในทางตรงกันข้าม ส่วนของผู้ที่กล่าวหาตั้งแต่แรกนั้นล้วนถูกสังคมประฌาม ถึงการใส่ร้ายต่างๆ นานา แต่เห็นทีผู้ที่จะเป็นตราบาปในเรื่องนี้ ก็ไม่พ้นจะเป็น ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ผู้เซ็นลงนามในคำสั่งประหารชีวิตพระพิมลธรรมจากความเป็นภิกษุเพศ ทำให้เมื่อมีการกล่าวถึงพระพิมลธรรมเมื่อใด ก็ต้องทำให้นึกคิดว่า จอมพล สฤษดิ์นั้น คือผู้อยู่เบื้องหลังในครั้งนี้ ก็ถือได้ว่าตราบาปนี้เป็นวิบากกรรมของท่านนายกฯ ที่ไม่สามารถหายจากความเจ็บป่วยมาคืนความเป็นธรรมให้พระพิมลธรรมได้ จึงทำให้เป็นจำเลยสังคมต่อเหตุการณ์นี้

แม้ตัวพระพิมลธรรมเองจะบอกอย่างไรว่า จอมพล สฤษดิ์นั้นไม่ได้เป็นต้นเหตุทั้งหมด แต่สังคมก็ยังจดจำภาพ จอมพล สฤษดิ์ในฐานะผู้ร้ายกระชากผ้าเหลืองของพระพิมลธรรมอยู่ดี

 

 ที่มา :  วิถีพระพิมลธรรม ติดคุก 5 ปีคดีคอมมิวนิสต์-ความมั่นคง ภายหลังศาลทหารยกฟ้อง (silpa-mag.com)

Leave a Reply