วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 18 โดยมีสมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาส เป็นประธานการประชุม ภายหลังการประชุมเป็นเวลากว่า 1.30 ชั่วโมง รศ.ดร.ชัชพล ไชยพร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการพระพุทธศาสนา รักษาราชการแทน ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษามส. ร่วมกันแถลงข่าว โดยศ.พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า ที่ประชุมมส.ได้เห็นชอบร่างกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการลงนิคหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2568) เนื่องจากฉบับเดิมมีการประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2521 อีกทั้งขั้นตอนในการลงนิคหกรรม (การลงโทษตามพระธรรมวินัย) ยังใช้เวลานาน ทั้งยังมีขั้นตอนพิจารณาชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา แต่ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้สามารถหาพยานหลักฐานได้ง่ายขึ้น เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอธิกรณ์ (เรื่องที่เกิดขึ้นอันสงฆ์ต้องจัดต้องทำ)
ดังนั้นในร่างกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการลงนิคหกรรม ฉบับที่ 2 จึงได้ปรับแก้เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โดยอำนาจในการลงนิคหกรรมยังคงเป็นของคณะสงฆ์ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐมีหน้าที่ในการสนับสนุนข้อมูล หลักฐาน จากนั้นให้พศ.ทำหน้าที่ในการนำเสนอคณะสงฆ์ และที่สำคัญ หากพบว่ามีหลักฐานชัดเจนในเรื่องความผิดวินัยต้องอาบัติปาราชิกในข้อการเสพเมถุนจะต้องดำเนินการให้ปาราชิกภายใน 10 วัน โดยที่ไม่มีขั้นตอนในการอุทธรณ์ ฏีกา อีกต่อไป
และหากพบว่าขั้นตอนในการอธิกรณ์ของพื้นที่ใดล่าช้า ให้พศ.นำเสนอมส.พิจารณาให้คณะกรรมการกลางที่มส.ตั้งขึ้น รับเรื่องมาพิจารณาแทน และจะต้องวินิจฉัยภายใน 10 วันนับตั้งแต่ได้รับเรื่อง โดยหากพบว่าเป็นความผิดถึงขั้นปาราชิก คณะกรรมการกลางจะมีอำนาจในการให้สละสมณเพศได้ทันที
รศ.ดร.ชัชพล กล่าวว่า สำหรับกฎมหาเถรสมาคมอีกฉบับที่มส.มีมติเห็นชอบ คือ ร่างกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2568) ซึ่งฉบับเดิมมีการประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2538 โดยในฉบับใหม่จะมีการระบุว่า หากพระสงฆ์ที่ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ หรืออาบัติรุนแรงแต่ไม่ถึงขั้นปาราชิก เช่น ความผิดครุกาบัติ สังฆาทิเสส หากไม่สละสมณเพศจะทำให้เกิดความเสียหาย เสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์ ให้สละสมณเพศได้
ที่มาเนื้อข่าว..มติชนออนไลน์
Leave a Reply