พระยุวสงฆ์ “เริ่มตื่นตัว” ตั้งคำถามสถานการณ์คณะสงฆ์ “จะร่วงหรือรอด” บางรูปเตือนให้ระวัง “อาศัยสถานการณ์ยกตน”

วันที่ 9 สิงหาคม 2568 ตามเพจของพระภิกษุ เพจพระพุทธศาสนาหรือแม้กระทั้งในกลุ่มไลน์ พระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธ มีพระหนุ่มเณรน้อย เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสถาบันสงฆ์ตอนนี้ถึงจุดอ่อนแอที่สุดแล้วหรือยัง และเหตุผลใดจึงไม่กลุ่มบุคคลหรือบุคคลใด ออกมาปกป้องหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อหาทางออกแต่อย่างไร!!  โดยมีรายละเอียดว่า

สถานการณ์คณะสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลในขณะนี้ อยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอ และน่าจะอ่อนแอที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าจำความได้ มุมสะท้อนสถาพปัญหา มองให้เห็นดั่งความเป็นจริง ปัญหาเกิดขึ้นแก่พระสงฆ์บางกลุ่ม  แม้จำนวนจะไม่มากนัก ที่พลาดพลั้ง ทำความผิด แต่ผลกระทบทั่วทั้งสังฆมณฑล จนทำให้หลายคน หลายกลุ่ม จึงตีความเหมารวมทั้งคณะสงฆ์

 

คำถามคือ มันสมควรแล้วหรือ….ตัวอย่างที่สำคัญเช่น สำนักงานตำราจแห่งชาติ ประกาศ เป็นหมายมั่น ให้ตรวจสอบและเริ่มดำเนินการตรวจสอบบัญชีวัด บัญชีเจ้าอาวาส ไวยาวัจกร ทั่วทั้งประเทศ (ผิด/ไม่มีความผิดใด ๆ)

ที่สำคัญคือ …แทบจะยังไม่มีใคร คณะใด กลุ่มใดได้ออกมาทำหน้าที่ปกป้อง แสดงความเห็นใด ๆ เพื่อหาทางออกในประเด็นดังกล่าว เพื่อระงับเหตุที่กำลังจะเกิดขึ้นบ้างเลยหรือ ? หรือว่า…ถ้าแสดงความเห็น คัดค้าน ไม่เห็นด้วยจะถูกมองว่า มีความผิดกินปูนร้อนท้อง จะถูกตรวจสอบก่อน…

ก็เลยปล่อยไปตามยถากรรม อย่างนั้นหรือ….(เอาตัวเองให้รอดก่อน) ในทางกลับกัน อีกมุมที่น่าคิด
สมมุติว่า… ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานอื่น ๆ กระทำผิดดังกล่าว คำถามคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องประจาน/ ประกาศให้สาธารณชนรับรู้และต้องตรวจสอบบัญชีทุกสถานีตำรววจทั้งประเทศและบัญชีของตำรวจทุกคนด้วยหรือไม่ ?

คำถามต่อที่น่าสนใจคือ ….มันสมควรหรือไม่ถึงกับทำกันอย่างวุ่นวายทั้ประเทศ?
วัดทุกวัด/พระสงฆ์ทุกรูปต้องรับผลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่ถูกที่ควรและยุติธรรมที่สุดควรจะเป็นอย่างไร?

มหาเถรสมาคม สายปกครองสูงสุดมีความคิดเห็นอย่างไร?
คณะสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลรู้สึกอย่างไร?
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีแนทางในการดำเนินการอย่างไร?
รัฐมนตรีที่รับผิดชอบสำนักงานพระพุทธศาสนามีความเห็นประการใด?
พี่น้องชาวพุทธที่รักแลหวงแหนพระพุทธศาสนาคิดเห็นอย่างไร?

บัดนี้คณะสงฆ์ถูกสื่อโจมตีและประณามทุก ๆ วัน จนทำให้คนในสังคมตีตราเหมารวมไปเรียบร้อยแล้วว่า..น่าจะเหมือนกันทั้งคณะ หมดศรัทธา…หมดความเชื่อถือ ไม่น่ากราบไหว้ …อีกต่อไป…
หรือว่าบัดนี้ถึงกาลแห่งจุดจบของคณะสงฆ์จะมาถึง…ในไม่ช้านี้….จากผู้ปรารถนาดีและด้วยความห่วงใย…ในพระศาสนา…

ขณะที่อีกท่านหนึ่ง คือ พระมหาใจ เขมจิตฺโต ป.ธ 9 ได้ยกข้อเขียนจากบางส่วนจากหนังสือ…ชาวพุทธกับชะตากรรมของสังคมสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เมื่อพระราชวรมุนี (ปอ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙) เตือนสติชาวพุทธว่า  ระวัง..การแสวงหาผลประโยชน์และการอาศัยสถานการณ์ยกตน  (ขอให้ชาวพุทธจำทุกสถานการณ์ว่า บุคคล คือบุคคล ไม่ใช่หลักธรรม คนทุกคน ยังอยู่ในระดับ ฝึกเท่าๆกันกับเรา ยังแค่รู้ธรรมเท่านั้น ถ้าไม่บรรลุธรรม อย่าเชื่อบุคคลแทนหลักธรรม) ลองอ่านหนังสือเรื่องนี้ต่อบางตอน…

มีข้อควรคำนึงอีกอย่างหนึ่งว่า ในสภาพที่เกิดมีความเสื่อมโทรมและอ่อนแอขึ้นในวัดในพระสงฆ์ ในวงการพระศาสนานั้น วัดและพระศาสนาก็จะเสี่ยงต่อการกลายเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ไปได้ง่ายๆ การแสวงหาผลประโยชน์จากความเสื่อมโทรมนั้น ก็จะมีเป็น ๒ แบบ คือ

พวกหนึ่งใช้วัดเป็นที่ทำมาเลี้ยงชีพ ถ้าไม่ใช้เป็นที่ค้าขายหาทรัพย์ให้ร่ำรวย อย่างน้อยก็บวชเข้ามาแอบแฝงอยู่สบายเกียจคร้าน ไม่ต้องเล่าเรียน ไม่ต้องทำการงาน

อีกพวกหนึ่งใช้สภาพเสื่อมโทรมนั้นเป็นพื้นฉาก เทียบให้มองเห็นตัวชัด หรือเป็นฐานสำหรับหยิบยกตัวขึ้นไป โดยวิธีหยิบยกเอาหลักการที่ดีบางอย่างในพระศาสนา หรือข้อปฏิบัติอัศจรรย์บางอย่างขึ้นมาเชิดชูถือไว้ และแสดงให้เห็นแปลกหรือพิเศษยิ่งกว่าพระสงฆ์ทั่วไป

ยิ่งเป็นเวลาที่สภาพทั่วไปทรุดโทรมมากเท่าใด การกระทำเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นที่สนใจ ปรากฏเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น เข้าทำนองว่า เมื่อมองหาพระอรหันต์จริงไม่เห็นมี คนก็เอาฤๅษีมาทำเป็นพระอรหันต์ หรืออาจเป็นว่า เมื่อพระแย่กันเต็มที ได้ฤๅษีก็ยังดีกว่าได้พระ

จะอย่างไรก็ตาม การกระทำทั้งสองแบบนี้ เมื่อเกิดในสภาพที่เสื่อมโทรมแล้ว ก็ทำให้สภาพที่เสื่อมโทรมอยู่นั้น เสื่อมทรุดหนักมากเข้าอีก แบบแรกทำให้วัดและพระศาสนาไม่มีกิจการงานที่เป็นประโยชน์และเต็มไปด้วยคนที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ซึ่งจะมาช่วยกันซ้ำเติมสภาพเสื่อมให้โทรมหนัก แบบที่สองเป็นการกระทำชนิดที่ถ้าไม่ตีสภาพเดิมให้บอบช้ำหนัก เพื่อทะลึ่งตัวขึ้นไป อย่างน้อยก็เป็นการทำให้ละเลย ปล่อยทิ้งปัญหาของส่วนรวมไว้ให้หมักหมมทับถมมากขึ้น โดยไม่ได้ปรับปรุงแก้ไข นอกจากนั้น ยังชักนำเอาคนที่พอจะช่วยกันแก้ไขปรับปรุงได้ให้พากันละทิ้งตามไป หรือถึงกับช่วยกันซ้ำเติมสภาพทรุดโทรมนั้นด้วย

อาจค้านว่า เมื่อแก้ไขปรับปรุง ก็ต้องยกเอาหลักการหรือข้อปฏิบัติที่ดีขึ้นมายึดถือ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น จะไปสำเร็จได้อย่างไร ที่ค้านนี้ ถูกต้องโดยหลัก จึงมิใช่ให้มองว่าใครทำดี แปลกขึ้นมาจะต้องเป็นการหาประโยชน์ส่วนตัวไปหมด ข้อสำคัญอยู่ที่เจตนา และการกระทำซึ่งออกมาจากเจตนานั้น จุดนี้แหละที่สำคัญ

คนที่ทำดีโดยมุ่งปรับปรุงแก้ไขด้วยเจตนาค่อนข้างบริสุทธิ์ ควรสนับสนุนก็มีอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้น ผู้เริ่มทำด้วยเจตนาดีนั้นเอง บางทีก็เผลอกลายเป็นผู้หาประโยชน์จากความเสื่อมโทรมไปได้เหมือนกัน เช่นเมื่อเกิดความหลงตัวเองขึ้นมาภายหลังเป็นต้น เลยกลายเป็นการทำดีชนิดก่อปัญหาใหญ่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งอาจเสียแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนที่ได้

ดังนั้น ผู้ที่ทำดีโดยมุ่งที่จะแก้ไขปรับปรุงส่วนรวมที่เสื่อม จึงต้องคอยสำรวจพิจารณาตนเองอยู่บ่อยๆ ว่า ที่เราถือปฏิบัติ แสดงออกอะไรๆ อย่างนี้ เรามุ่งให้เป็นการปรับปรุงแก้ไข เรามุ่งให้ผลมาเกื้อกูลแก่ส่วนรวม เราไม่ได้มุ่งเชิดชูตัวเอาโด่งเอาเด่น หรือมีจิตกระทบกระทั่งแค้นเคืองแฝงอยู่ จึงอยากจะให้พวกที่อยู่ในสภาพเสื่อมโทรมนั้นโค่นล้มประสบหายนะไปเสีย

เมื่อมีเจตนาในทางแก้ไขปรับปรุง ในทางเกื้อกูล ในทางมีเมตตากรุณาต่อกันแล้ว เวลาปฏิบัติหรือแสดงออก มันก็จะเป็นไปในรูปของการเสนอหลักการที่ดีงามถูกต้อง ด้วยวิธีชี้แจงเหตุผลให้เห็นว่าที่ทำอย่างนั้นผิดพลาดเสียหายเพราะอย่างนี้ๆ ที่ถูกควรจะเป็นอย่างนี้ ควรจะปฏิบัติควรจะชักชวนกันให้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ห้ำหั่นกันว่าต้องอย่างฉันเท่านั้นจึงถูก ใครทำอย่างอื่นแปลกจากของฉันหรือไม่เหมือนที่ฉันทำไม่ได้ ต้องผิดทั้งนั้น อะไรทำนองนี้

จริงอยู่ผู้ทำการที่เก่งก็ย่อมมีความเชื่อมั่นว่าที่ตนทำนั้นถูกต้องแล้ว แต่ในการแสดงออกก็ต้องเผื่อไว้อยู่ดี คือต้องเคารพธรรม เอาธรรมเหนือตัว ไม่ใช่เอาตัวเหนือธรรม คือเสนอชี้แนะชักชวนออกไปโดยเหตุโดยผล เมื่อตัวถูกก็ดี ถึงผิดก็ไม่เสีย เพราะว่ากันจริงๆ บางทีหลักการดีที่ตนยึดถือและประกาศอยู่ว่าเป็นจริงเด็ดขาดนั้น อาจจะเป็นความเข้าใจผิดอย่างจังก็ได้

ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงเน้นหนัก ให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัว มิฉะนั้นอาจจะกลายเป็นการทำดีอย่างอสัตบุรุษเข้าก็ได้ การทำดีนั้นดี แต่ผู้ทำดีก็กลายเป็นอสัตบุรุษไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน การทำดีอย่างอสัตบุรุษเป็นอย่างไร ท่านว่า ผู้ใดทำดีหรือบำเพ็ญความดีแล้ว เช่น ได้เล่าเรียนมากมีความรู้ดี เป็นผู้ทรงวินัยก็ตาม เป็นนักเทศน์ก็ตาม เป็นผู้ถือธุดงค์ เช่นอยู่ป่า อยู่โคนไม้ ฉันมื้อเดียว เป็นต้นก็ตาม ได้ฌานสมาบัติก็ตาม มาภูมิใจว่าเราทำได้ถึงอย่างนี้ เราเป็นถึงอย่างนี้ พระอื่นๆ ไม่ได้ไม่เป็นอย่างเรา แล้วยกตนข่มผู้อื่นด้วยความดีนั้น ผู้คิดนึกทำนองนี้ ท่านว่าเป็นอสัตบุรุษ6 ที่ท่านว่าอย่างนี้ เพราะการทำดีอย่างผิดๆ เป็นผลเสียทั้งแก่ตนเองและส่วนรวม

ในด้านตนเองถ้านึกเพียงว่า เราได้ทำความดี ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง ได้ตั้งใจเล่าเรียนศึกษา ได้ตั้งใจประพฤติดี ศีล สมาธิ ปัญญาของเราเจริญงอกงาม เราก้าวหน้าในธรรมขึ้น ความเอิบอิ่มใจปีติปราโมทย์ก็เกิด มีความสุข นำให้เกิดสมาธิปัญญายิ่งขึ้น เป็นกุศล แต่พอนึกเลยไปว่าเราเก่งกว่าเขา เขาทำไม่ได้อย่างเรา ตอนนี้ไม่เป็นกุศล แต่กลายเป็นกิเลสไปแล้ว ไม่เกิดปีติปราโมทย์ แต่กลายเป็นมานะ อติมานะไป

ส่วนในแง่ส่วนรวม ในเมื่อเป็นการกระทำที่เอาตนเป็นหลัก ไม่เป็นไปโดยเหตุผลบริสุทธิ์ ก็ย่อมมีทางเกิดโทษไปได้ต่างๆ ดังนั้นจึงควรระลึกว่า การทำดี แม้ทำได้แล้วก็ยังมิใช่ง่าย จะต้องให้เป็นดีอย่างสัตบุรุษด้วย พูดอย่างง่ายๆ ว่า ไม่พึงทำดีเพื่อเอาความดีมาเสริมตัวตน แต่พึงสละตนเพื่อเสริมความดี คนทำดีอย่างแท้จริง เสียสละได้แม้กระทั่งการที่จะให้คนอื่นรู้ว่าตนได้ทำความดี.

Leave a Reply