วันที่ 13 สิงหาคม 2568 หลังจากตำรวจทั่วประเทศได้ปฎิบัติการ “กวาดลานวัด” เข้าไปขอข้อมูลวัด ประวัติพระภิกษุ – สามเณร บัญชีเงินวัด บัญชีส่วนตัว หมายเลขบัตรประชาชน มีการถ่ายรูป ข้อมูลจำนวนตู้บริจาค ก่อให้เกิดความหวั่นไหว ระส่ำกระสาย ต่อพระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ จนเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่ผ่าน สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในฐานะประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ได้มีพระบัญชาผ่านสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม โปรดให้ประกาศว่า ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 222/2568 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ได้มีมติขอความร่วมมือและขอรับทราบข้อมูลในด้านต่างๆ ของวัด นั้น
ต่อมาเกิดความปรากฏว่า มีแนวปฏิบัติที่ลักลั่นกันและอาจมีการกระทำที่ก่อให้เกิดความระส่ำระสาย รู้สึกเป็นภัยคุกคาม เกิดความปริวิตกในคณะสงฆ์ จึงขอให้ดำเนินการซักซ้อมความเข้าใจและประสานรายละเอียดยังส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อความกระจ่างร่วมกัน 6 ข้อ ดังที่สื่อหลายแขนงได้เสนอข่าวพระบัญชาไปแล้วนั้น

เช้าวันนี้เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้แถลงแนวทางการทำงานใหม่ที่สั่งการไปยังตำรวจทุกพื้นที่ รวมถึงฝ่ายปกครองและ กอ.รมน. คือการปรับเปลี่ยนวิธีการเข้าหาพระสงฆ์ให้เหมาะสมและนอบน้อม โดยเน้นย้ำว่าจะ ไม่บุกเข้าวัดโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และจะไม่มีการถ่ายรูปลงทะเบียนพระในลักษณะที่ทำให้เกิดความหวาดหวั่นหรือทำให้วัดเสียหายเหมือนที่เคยเป็นมา

บ่ายวันนี้ เวลา 14.00 น. ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้นำพระคติธรรมของสมเด็จพระสังฆราช เพื่อเป็นหลักการสำหรับพุทธบริษัทไทยทุกหมู่เหล่าในการที่จะพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา และคณะสงฆ์ และประกาศสำนักเลขาธิการมหาสมาคม เรื่อง แนวปฏิบัติในการส่งมอบข้อมูลของวัดตามข้อหารือเบื้องต้น ในที่ประชุมคณะกรรมการตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 222 / 2568 มาแจ้งต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม
“แหล่งข่าว” ที่ประชุมจากประชุม มหาเถรสมาคม เล่าว่า ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ซึ่งเช้าวันนี้ในฐานะที่ประปรึกษาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้ไปประชุมร่วมกับฝ่ายตำรวจ ได้เดินทางมาร่วมประชุมพร้อมกับรายงานผลการประชุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“มหาเถรสมาคมมีมติน้อมรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งไปยังรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยในการเข้าตรวจสอบวัด แต่ละครั้งจะต้องมีเจ้าคณะผู้ปกครอง และ เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติร่วมด้วย เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ และเป็นการป้องกันกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนที่มีอคติส่วนตัวใช้การข่มขู่ คุกคาม ตลอดจนหว่านล้อมให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งพบเห็นในหลายกรณี”
นออกจากนั้นที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้มีมติ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งให้วัดทั่วประเทศทราบว่า ในกรณีของการเข้าตรวจสอบ ไม่อนุญาตให้บัญชีส่วนตัว เพราะนอกจากผิดกฎหมายแล้ว ยังป้องกัน การนำบัญชีส่วนตัวหลุดออกไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งอาจถูกนำใช้ไปในทางที่ผิดกฎหมายกฎหมาย เช่น กรณีแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ เว้นกรณีที่มีหมายศาลมาขอเท่านั้น.


Leave a Reply