เขียนถึง “หลวงพ่ออลงกต” ในยามที่สังคมไทย “รุมกระทืบ”

กรณี “หลวงพ่ออลงกต” วัดพระบาทน้ำพุ “พระต้นแบบ” ผู้สงเคราะห์คนยากไร้ โดยเฉพาะผู้ป่วยเอดส์ ในยุคที่ “สังคมรังเกียจ” แม้กระทั้งคนในครอบครัวก็ “ทอดทิ้ง”

“ผู้เขียน” นึกถึงคำที่ว่า “เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา เมื่อไม่มีหมู่มิตรไม่มองมา เมื่อมอดม้วยแม้หมูหมาไม่มามอง”

“หลวงพ่ออลงกต” ยามมั่งมี “ชื่อเสียง” คนหลั่งไหลวิ่งเข้าหา อยากร่วมทำบุญ อยากร่วมงาน ของเงินบริจาค สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน สร้างวัด  หรือ “บางราย” อาสารับใช้ “ตีสนิท” ด้วยผลประโยชน์ก็มี ได้ “หลวงพ่ออลงกต” เป็น “พระดี” ไม่ได้ “อลงกต” เป็นพระไม่ดี

ยามนี้ “หลวงพ่ออลงกต” ถูดทอดทิ้ง “โดดเดี่ยว” โดยเฉพาะ “วงการสงฆ์” เริ่มต้นจาก “มหาเถรสมาคม” สลัดทิ้งก่อนใคร ยกเลิกสมทบทุนช่วยผู้ป่วยเอดส์ วัดพระบาทน้ำพุ  ดาบสอง พระธรรมวชิรสุนทร อนุญาตให้ลาออกจากเจ้าอาวาส ดาบสาม พระพรหมกวี เจ้าคณะภาค 3 ปลดจากที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 3

แทนที่จะ “ถนอมน้ำใจ” เกื้อกูลกัน เพื่อจะได้มี “พลังใจ” ในการต่อสู้กับ “วิกฤตปัญหา” การกระทำแบบนี้ สวนทางกับคำพร่ำสอน “ชาวพุทธ” ในตั้งมั่นอยู่ใน ความเมตตา เอื้ออาทรต่อกันหมด แล้วชาวพุทธจะเชื่อมั่นต่อ คณะสงฆ์ อย่างไร

“หลวงพ่ออลงกต” สุดท้าย “ตายเดี่ยว” ยามนี้แม้กระทั้ง “พวกเดียว” กันเองก็ “ถีบส่ง” ใยต้องพูดถึง “ภาครัฐ” ตอนนี้ “รุมยำ” จนแทบไม่เหลือเค้าลางแห่งความดีในฐานะ “พระภิกษุ” รูปหนึ่งที่เคยทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อสังคมและมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง ขณะที่ “สื่อมวลชน” บ้านเราเล่นอยู่บทบาทเดียวคือ “ชำแหละ-ขยี้”  ผิดธรรมชาติของความเป็นสื่อมืออาชีพ ที่ต้องเสนอสองด้าน

“ผู้เขียน” สัมผัส “หลวงพ่ออลงกต” ตอนทำงานอยู่ช่อง 11 ท่านมีรายการสดประจำชื่อ “ใจฟ้า” ทุกวันพุธ ท่านจะมาพร้อมกับ “บาตร 1 ใบ” โดยมี “ผู้ประสาน” งาน 2 คน บางวันพาเด็ก ๆ  เดินทางมาด้วย ซึ่งหลายคน แม้กระทั้ง “ผู้เขียน” ก็หวั่นว่า ตู้น้ำ ห้องน้ำ แก้วน้ำ ที่เด็กเหล่านี้ใช้จะมีผลต่อการแพร่เชื้อเอดส์หรือไม่ จึง “หลีกเลี่ยง” ไม่เคยเข้าใกล้ แม้กระทั้ง “หลวงพ่ออลงกต”

คำว่าปุถุชนมีความผิดพลาดเป็นธรรม “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” กรณี “หลวงพ่ออลงกต” วันนี้ท่านพลาดด้วย “เหตุปัจจัย” อะไรก็ตาม แต่เมื่อมองเรื่อง “พระวินัย” ท่านไม่ได้ต้องอาบัติ “ปาราชิก” คณะสงฆ์น่าจะ “ถนอมน้ำใจ” ท่านบ้างในฐานะพระรูปหนึ่ง หรืออีกอย่างในฐานะ “พุทธบุตร” ด้วยกันเอง ซ้ำท่านก็ทำคุณุประโยชน์สร้างชื่อเสียงให้คณะสงฆ์  ช่วยเหลือคณะสงฆ์ไว้มาก ใยต้อง “ถีบหัวส่ง” ในขณะที่ยังไม่ได้สอบสวนมีผลสรุปชัดทางพระวินัย หรือ ผิดชัดในเรื่องกฎหมาย

หรือจะบอกว่า “ปลดออก” เพื่อลดกระแสสังคม

“ผู้เขียน” นึกถึงตอน “คดีเงินทอนวัด” ก็แบบนี้  มหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ “ถีบหัวส่ง” พระพรหมดิลก พระพรหมสิทธิ พระพรหมเมธี หลังในหลวง คืนตำแหน่ง “เจ้าอาวาส -สมณศักดิ์”ให้แล้ว  วิ่งเข้าหา วิ่งขอตำแหน่ง วิ่งของาน วิ่งขอทุน ทั้ง “พระภิกษุและฆราวาส”

เห็นแล้ว “ทุเรศ” สายตา น่าเกลียด น่าอาย น่าสมเพช น่าอุจาด ขัดหูขัดตา จะอ้วก ความ “กะล่อนปลิ้นปล้อน” ของพระภิกษุและเจ้าหน้าที่รัฐบางคน

สังคมไทย “ยามนี้” กลายเป็นสังคม “แล้งน้ำใจ” ทั้งสังคมพระและสังคมฆราวาส  ยามมีอยากคบ ยามทุกข์ ยามมีปัญหา “ถีบหัวส่ง”  คบกันด้วยผลประโยชน์

น้ำใจแบบนี้สังคมพุทธไทยสู้สังคม “มุสลิม” ไม่ได้ “มุสลิมทั้งผอง คือพี่น้องกัน”  ยามทุกข์ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ยามมีปัญหาต้องหาทางออก ร่วมกันแก้ หากแก้ไม่ได้ก็ส่งกำลังใจให้กันและกัน

ส่วนพุทธศาสนิกชน “ถีบหัวส่ง” ยังเดียวไม่พอ “กระทืบซ้ำ” อีกด้วย “สันดาน” แบบนี้เกิดมีทั้งในพระภิกษุและฆราวาส…

Leave a Reply