นักวิชาการพุทธ!! คุยอะไรกันที่ “พ.ส.ล.”

วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ประเทศไทยนอกจากจะมีงานใหญ่คือ งานประสาทปริญญาบัตรประจำปีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ยังมีงานใหญ่อีกงานหนึ่งที่มีนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาเดินทางมาจากทั่วโลกนั่นคืองาน ครบรอบ 75 ปี ของการก่อตั้งองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกที่จัดขึ้นระหว่าง 5-7 ธันวาคม 2568 ณ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก  กรุงเทพมหานคร

เฟชบุ๊ค “เจ้าคุณหรรษา” พระเมธีวัชรบัณฑิต ได้กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 5 -7 ธันวาคม  องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก   นำโดย ดร.พัลลพ ไทยอารี ประธานองค์การฯ ท่านปัจจุบัน ได้จัดพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี ของการก่อตั้งองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ตั้งแต่ปี 2493 ณ ประเทศศรีลังกา โดยการริเริ่มของ ดร. คุณปาล ปิยเสน มาลาลาเสเกรา  พร้อมทั้งจัดประชุมนานาชาติในหัวข้อ บ่มเพาะปัญญา และสุขะภาวะที่ดีในยุคปัญญาประดิษฐ์ ผ่านวิสัยทัศน์ของพระพุทธศาสนาสำหรับอนาคต (Cultivating Wisdom and Well-Being in the IA Era: A Buddhist Vision for the Future)

สำหรับนักวิชาการนานาชาติที่เชิญมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์การปฏิบัติ ประกอบด้วยพระเมธีวัชรบัณฑิต  พระมหาสมพงษ์ คุณากโร รศ.ดร.โกนิฏฐ์ ศรีทอง ดร.นาฏณภางค์ โพธิ์ไพจิตร ประเทศไทย พระ ดร.ปาร์ค กวาง ซู ดร.มินซุก เอส คิม ประเทศเกาหลี และพระยาชิฮารุ โทมัตซึ  ประเทศญี่ปุ่น โดยบรรยากาศการอภิปราย ได้มีผู้นำชาวพุทธจำนวนมากร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ แนวคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการนำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยตอบโจทย์การพัฒนาปัญญาและสุขภาวะที่ดี รวมถึงแนวทางการนำหลักพุทธธรรมมาช่วยบ่มเพาะปัญญาและสุขภาวะที่ดีเพือให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขในยุคปัญญาประดิษฐ์

ส่วนตัวได้ย้ำบนเวทีต่อหน้านักวิชาการนานาชาติว่า สติ และสมาธิเป็นรากฐานสำคัญของการบ่มเพาะปัญญา และช่วยเสริมสร้างสุขะภาวะที่ดี ทั้งทางกาย สังคม จิต และปัญญา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามหลักมหาสติปัฏฐานนั้น พระพุทธเจ้ายืนยันว่า มหาสติปัฏฐานเป็นทางสายเอก หรือสายตรงที่จะนำผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย  เพื่อระงับความโศกและความคร่ำครวญ  เพื่อความดับทุกข์และโทมนัส  เพื่อบรรลุญายธรรม และเพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้งฯ

การน้อมนำมหาสติปัฏฐาน คือ การมีสติดูกาย เวทนา จิต และธรรม จะทำให้ให้เกิดปัญญาญาณ จนทำให้เกิดสุขะภาวะที่ดีทางกายและใจ อันเกิดจากความเป็นอิสระจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายที่เข้ามาเบียดเบียนจิตใจจนสูญเสียสุขะภาวะที่ดี

ดร.นาฏนภางค์ โพธิ์ไพจิตร ได้นำเอาผลงานวิจัยที่ทำร่วมกันผ่านการปฏิบัติ โดยมีนิสิตสันติศึกษา นิสิตวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร  และนักปฏิบัติธรรมชาวยุโรป เป็นกลุ่มทดลอง มานำเสนอบนเวทีที่ประชุม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก เพราะเป็นการนำเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์ มาวัดคลื่นสมอง ความดันเลือด น้ำลาย และการเต้นของหัวใจ ที่สัมพันธ์กับสภาวะความเครียด ความกดดัน ความกลัว รวมถึงพัฒนาการของสติ สมาธิ และปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ ตลอด 1 เดือนบ้าง 15 วันบ้าง และ 10 วันบ้าง

แนวโน้มชาวโลกที่กำลังแสวงหาเรื่องกิน กาม และเกียรติ ล้วยต้องเผชิญหน้ากับความเครียด ความกดดัน สภาวะหมดไฟ จนทำให้เกิดความทุกข์ ทำร้ายตนเอง ชุมชน และสังคม กำลังแสวงหาเครื่องมือในการลดความเครียด ความกดดัน และเสริมสร้างความสุขทางใจ ในที่สุด จึงหันหน้ามาปฏิบัติสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานในรูปแบบต่างๆ  จึงสอดรับกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า เราสอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ เพราะคนทุกข์จึงถวิลหาหนทางทางเพื่อดับทุกข์ และหนทางนั้น พระพุทธเจ้าเคยใช้ดับทุกข์มาก่อน และทรงจำแนกแจกแจงไว้แล้ว จึงอยู่ที่ว่า ชาวโลกจะทุกข์เพียวพอที่จะหันหน้ามาศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางที่พุทธองค์ได้เสนอไว้หรือไม่ อย่างไร

Leave a Reply