เปิดใจ “กรณ์ มีดี” จาก “เปรียญลาพรต” สู่เส้นทางชาวส้ม “พรรคประชาชน”

วันที่ 18 ธันวาคม 2568 นายกรณ์ มีดี อดีตเปรียญลาพรต เปรียญธรรม 6 ปรปะโยค ศิษย์เก่า มมร อดีตหัวหน้าพรรคแผ่นดินธรรม ที่ผ่านมาบทบาท กรณ์ มีดี เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คณะสงฆ์และวงการชาวพุทธ เนื่องจาก กรณ์ มีดี เป็นนักเคลื่อนไหวที่กล้าชนกับความไม่ถูกต้อง ความอยุติธรรม เพื่อนำความจริงกลับคืนมาสู่สังคม  ล่าสุดกรณ์ มีดี ได้โพสต์ ข้อความเปิดใจ “กรณ์ มีดี” สู่เส้นทางชาวส้ม “พรรคประชาชน” เส้นทางชีวิตที่พิสูจน์ด้วยการลงมือทำ จากความชิงชัง สู่ความเข้าใจ และขออาสาเข้ามาเปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชน มีความดังนี้

1. ภูมิหลังใต้ร่มกาสาวพัตร์ (15 ปีแห่งการเรียนรู้)
ผมเกิดที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เริ่มต้นเส้นทางธรรมโดยบวชเป็นสามเณรหลังจบ ป.6 และครองเพศบรรพชิตต่อเนื่องรวม 15 ปี ผมสอบได้นักธรรมเอก และเปรียญธรรม 6 ประโยค และศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีด้านสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา จากมหามกุฏราชวิทยาลัย (ซึ่งสมัยนั้นตั้งอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร) ช่วงเวลานี้เองที่ทำให้ผมเข้าใจโครงสร้างและปัญหาเชิงลึกของพระพุทธศาสนาในไทยอย่างแจ่มแจ้งก่อนจะลาสิกขาออกมาประกอบอาชีพส่วนตัว

2. ประตูสู่การเมืองและงานภาคประชาชน
หลังจบการศึกษา ผมเข้าทำงานในบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งซึ่งมีทั้งโรงกลั่นและค้าปลีก ในช่วงที่ทำงานในบริษัทน้ำมัน ผมได้มีความสนใจการเมืองมากขึ้น และย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมืองทองธานีตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน จุดเริ่มต้นทางการเมืองของผมเกิดจากการติดตามกลุ่ม นปก. และ นปช. (คนเสื้อแดง) ผมเคยไปกินนอนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องเสื้อแดง จนได้ร่วมทำงานกับ “มูลนิธิบ้านเลขที่ 111”

ในบทบาทภาคประชาชน ผมได้รับเลือกเป็น ประธานนิติบุคคลอาคารชุดเมืองทองธานี C5 ตั้งแต่ปี 2553 (รวมระยะเวลาทำงานกว่า 10 ปี) จากการรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้านเพื่อเปลี่ยนแปลงการบริหารงานที่เอารัดเอาเปรียบ จนสามารถคว้าชัยชนะและเข้ามาดูแลความเป็นอยู่ของคนในคอนโดได้จริง

3. บทบาทสื่อมวลชนและการเผชิญหน้ากับอำนาจนิยม
ช่วงปี 2555-2557 ผมเป็นผู้ดำเนินรายการ “สนทนากลับบ้านเลขที่ 111” ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องลุงไพร สัปดาห์ละ 2 วัน นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความไม่ยุติธรรมในระบบการเมือง การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ และการต่อต้านการยึดอำนาจ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารในปี 2557 รายการจึงต้องยุติลงเนื่องจากสถานีถูกสั่งปิดตามคำสั่งของทหารในขณะนั้น

4. จุดเปลี่ยน จากหัวหน้าพรรคสายอนุรักษ์นิยม สู่การละทิ้งอคติ
ด้วยความรักในศาสนา ผมได้รับการชักชวนให้ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองแนวอนุรักษ์นิยมเพื่อปกป้องสถาบันและพุทธศาสนา และก้าวขึ้นเป็น หัวหน้าพรรค ในปี 2561 แม้ในช่วงนั้นผมจะแอบชื่นชมนโยบายพรรคอนาคตใหม่ แต่ด้วยบทบาทหน้าที่และคำแนะนำจากผู้ใหญ่ ทำให้ผมเคยแสดงความเห็นโจมตีพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลด้วยถ้อยคำรุนแรงเพราะอคติและความเข้าใจนโยบายที่ไม่ลึกซึ้ง

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2566-2567 เมื่อผมได้เปิดใจคุยกับ คุณนพดล ทิพยชล อดีต สส.เขต 4 นนทบุรี พรรคประชาชน การพูดคุยครั้งนั้นทำให้ผมตาสว่าง เข้าใจทุกแง่มุมที่เคยเข้าใจผิด โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อคติทั้งหมดที่มีจึงมลายหายไป และเปลี่ยนเป็นความชื่นชมในความเสียสละของพวกเขาแทน คำพูดของผมที่ไม่เหมาะสมต่อบุคลากรของพรรคในอดีต ด้วยความที่ยังไม่ได้ศึกษานโยบายให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งการแสดงนั้นก็เป็นอดีตที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เมื่อผมได้ก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคประชาชนด้วยความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ ผมก็ไม่เคยแสดงคำพูดที่ไม่เหมาะสมต่อบุคลากรของพรรคอีกเลย

5. วันนี้… ผมมีเลือดเป็นพรรคประชาชนอย่างเต็มตัว
ผมตัดสินใจลาออกจากหัวหน้าพรรคเดิม เพื่อมาสมัครเป็นสมาชิกตลอดชีพพรรคก้าวไกล (ในขณะนั้น) แม้จะรู้ว่าพรรคกำลังเสี่ยงถูกยุบ ผมถึงขั้นเคยเสนอ “ยกพรรคเดิมให้” เพื่อเป็นพรรคสำรองให้ก้าวไกลเพื่อชดเชยความเข้าใจผิดในอดีต แม้สุดท้ายทางพรรคจะเตรียมการไว้แล้ว แต่เจตนารมณ์ของผมยังคงเดิม

ปัจจุบัน เมื่อก้าวสู่ “พรรคประชาชน” ผมทำงานในฐานะผู้ช่วยดำเนินงานและผู้ชำนาญการประจำตัว รวมทั้ง ตำแหน่งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ ปปช. และ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ ปปช. ผมทุ่มเททำงานพื้นที่เขต 4 นนทบุรีอย่างหนัก และ บริจาคเงินเดือนทั้งหมดที่ได้มาจากตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง (รวม 21,000 บาท) กลับคืนสู่กิจกรรมในพื้นที่ทุกบาททุกสตางค์ เพื่อพิสูจน์อุดมการณ์และความตั้งใจจริง

ปณิธานทิ้งท้าย
ผมพร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาและปัญหาคณะสงฆ์ 25 ข้อที่เคยนำเสนอ มาขับเคลื่อนร่วมกับนโยบายของพรรคประชาชน ผมพร้อมทำหน้าที่ทุกอย่างที่พรรคมอบหมายด้วยพลังทั้งหมดที่มี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับประเทศ…

Leave a Reply