ยุคดิสรัปชั่น! ศ.ดร.สุชัชวีร์กระตุ้นพระปรับตัว อยู่เหมือนกบต้มไม่ปรับตัวไร้บทบาทสูญพันธุ์

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) พร้อมกันนี้ยังดำรงตำแห่งประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) หลังจากที่ได้กระตุ้นให้มหาวิทยาลัยทางโลกต่างๆ ได้ปรับตัวก้าวข้ามยุค Disruption (การหยุดชะงัก) เนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็วเข้าสู่ยุคดิจิทัลทั้ง ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ 5 จี เป็นต้น โดยได้ทำเป็นตัวอย่างที่ สจล. มีการปรับหลักสูตรให้รองรับ เอไอ และที่เท่ห์ไปกว่านี้ก็คือมีการเปิดหลักสูตรโหราศาสตร์ด้วย หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยสถานการศึกษาต่างก็มีการปรับตัวพัฒนาคนให้รองรับกับยุคสมัย

เมื่อกระตุ้นทางโลกเรียบร้อยแล้วศ.ดร.สุชัชวีร์ ก็ได้มีโอกาสเข้ามากระตุ้นทางธรรมคือคณะสงฆ์ให้มีการปรับตัว ในการประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะจังหวัด พระเลขานุการ และผู้เกี่ยวข้องทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจนโยบายสู่การปฏิบัติ ที่อาคารราชวิริยาลังการ วัดไร่ขิง พระอารามหลวง ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2562 ที่ผ่านมา

โดยมีพระพรหมมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการ เป็นประธานเปิด พระราชวรเมธี, รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร ) ประธาน คปพ. วัดประยุรวงศาวาส เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาสู่การปฏิบัติ” และมีพระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร. กก.มส. รก.จภ.2 ประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์ไทย ประธานคณะกรรมการฝ่ายศึกษาสงเคราะห์ เป็นประธานพิธีปิดโดยได้ยกทฤษฎีกบต้มเตือนสติหากพระสงฆ์ไม่มีการปรับตัว

 

 


จากผลการบรรยายเรื่อง “บทบาทพระสงฆ์กับการบริหารความเปลี่ยนแปลงในยุคพระพุทธศาสนา 4.0”ของศ.ดร.สุชัชวีร์นั้น พระปริยัติธาดา,ดร. (ป.ธาดา) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมประชุมด้วย ได้จับประเด็นและนำมาถ่ายทอดผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว”Pariyat Thada”ซึ่งนับเป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่ใช้สื่อออนไลน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ความโดยสรุปว่า

โลกปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ถ้าเราไม่เปลี่ยนคือ แพ้ คือสูญพันธุ์ ไดโนเสาร์ ไม่ปรับตัวจึงสูญพันธุ์ มือถือโนเกีย ที่เมื่อก่อนนี้ ใครไม่มีใช้ถือว่าเชยบรม. ปัจจุบันนี้เหลือเพียงตำนาน. เพราะการเกิดขึ้นของแอ๊ปเปิ้ล ไอโฟน ไม่มีปุ่มกดอีกต่อไป และการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างที่เราทราบกันดี. การเกิดขึ้นของเฟสบุ๊ค ของไลน์. ส่งผลต่อวิถีชีวิตและการทำงาน. การเข้าถึงข้อมูลก็ง่ายดายแค่ปลายนิ้วต่อไปมหาวิทยาลัยต่างๆจะต้องปิดตัวลง เพราะไม่มีใครไปเรียนในมหาวิทยาลัยอีกแล้ว ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้ หาเอาได้จากกูเกิลและยูทูปและนั่นรวมถึงความรู้ในทางศาสนาด้วย และยิ่งนานวันเข้าข้อมูลเหล่านี้ยิ่งมากขึ้นทุกวัน. จนกล่าวได้ว่า ทุกคำถามมีคำตอบ

ข้อมูลในพระพุทธศาสนาอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา หาอ่านเองได้หมด ไม่ต้องไปที่วัด. ไม่ต้องไปถามพระอีก
แล้ว บทสวดมนต์ ก็เปิดจากยูทูบ มีทุกบท บทเทศน์ยิ่งมากมายมหาศาล มีทุกอาจารย์ ไม่ต้องไปฟังที่วัดอีกแล้วเช่นเดียวกัน วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ยังแค่นี้. แล้ววันนี้ปีหน้า จะแค่ไหน. ไม่มีใครกล้าพยากรณ์ แต่ที่แน่ๆ ต้องมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแน่นอน. เพราะโลกมันหมุนเร็วกว่าเดิม ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในอินเตอร์เน็ตได้ไม่หายไปไหน แต่พระสงฆ์ตัวเป็นๆ จะอยู่ตรงไหน จะอยู่อย่างไร. คงต้องใช้คำว่า #อยู่ยาก#

บางท่านอาจจะเถียงว่า พระก็ประกอบพิธีกรรมไปสิ สวดศพ มาติกา บังสุกุล เจิม รดน้ำมนต์ ไปตามประสา น่าจะยังต้องใช้พระอยู่ มันก็ไม่แน่. เพราะคนอาจจะฉลาดขึ้นอีกจนกระทั่งว่า ไม่ต้องพึ่งพิธีกรรมเหล่านี้ ที่เป็นเพียงเปลือกกระพี้ต่อไปอีกแล้วก็ได้ ใครจะรู้ เพราะความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนไว้ว่าให้พระสาวกทำสิ่งเหล่านี้ เมื่อญาติโยมสามารถศึกษาธรรมะด้วยตัวเองได้ พระก็มีความจำเป็นน้อยลง

คราวนี้ ก็ถึงคิวของพระบ้าง ว่าจะปรับตัวหรือไม่ หรือจะยังคงยึดวิถีแบบเดิม จะหันมาเอาดีทางสอนวิปัสสนากรรมฐานเพื่อจะดึงคนให้กลับมาหรือ จะทันญาติโยมที่เขาเปิดสอนกันทั่วโลก ซึ่งมากกว่าที่พระเปิดสอนอยู่หรือไม่ และถ้าคนที่สอนทำให้เขาเข้าใจและเข้าถึงแก่นธรรมได้ เขาก็นับถือคนนั้น ซึ่งอาจจะเป็นพระหรือฆราวาสก็ได้ ทุกวันนี้อาจารย์ฆราวาสมีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมืองมีอยู่ถมไป

วิทยากรได้พูดถึง #ทฤษฎีกบต้ม# ถ้าเราตั้งน้ำร้อนให้เดือดแล้วใส่กบลงไป กบจะไม่ตาย เพราะถูกน้ำร้อนเข้าก็จะกระโดดหนีตามสัญชาตญาณ แต่ถ้าเอากบไปใส่ในน้ำธรรมดาที่ยังไม่ร้อน แล้วค่อยสุมไฟใส่ไปเรื่อยๆ กบจะตายในที่สุด เพราะอะไร เพราะเมื่อน้ำค่อยๆร้อน กบก็ค่อยๆปรับตัวให้ชินกับความร้อนของน้ำ แต่เมื่อน้ำเดือด กบก็หมดแรงที่จะกระโดดแล้ว. ในที่สุดก็ ตายหยังเขียด เอ้ย ตายหยังกบ สถานการณ์ของพระในปัจจุบัน ก็เปรียบได้กับทฤษฎีนี้แล เมื่อถึงจุดเดือด พระก็สูญพันธุ์

ไม่มีใครบอกได้ชัดเจนหรอก ว่าศาสนาไหนจะมาทำลายพระ แต่ที่แน่ๆ พระจะตายเอง เพราะไม่เปลี่ยนแปลงปฏิรูปตัวเองต่างหาก การที่อยู่ในโซนที่สบายจนชิน ที่เรียกว่า comfort zone นี้แหละ ที่จะทำให้กลายเป็นกบถูกต้มไปในที่สุด พระสงฆ์ในมหาวิทยาลัยนาลันทาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ท่านไม่ปรับตัวให้เข้ากับสังคมรอบๆ เอาแต่เรียนอย่างเดียว ไม่ได้ศึกษาว่าโลกภายนอกเขาเป็นอย่างไรกัน ไม่สามารถทำให้คนที่อยู่รอบๆมหาวิทยาลัยมีความรักหวงแหนในพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ได้ เมื่อมีภัยเกิดขึ้น ก็ตัวใครตัวมัน ทอดทิ้งพระให้ประสบชะตากรรมอย่างอนาถ

เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญยิ่งของพระสงฆ์ในยุคปัจจุบัน ถ้าไม่สามารถเข้าถึงโลกคือสังคมประชาชนได้ จะถูกคลื่นกองทัพแห่งวัตถุนิยมบดขยี้ จนหมดความจำเป็น ไม่มีความสำคัญที่เขาจะช่วยกันรักษาอีกต่อไป พระก็อยู่ไปตามยถากรรม

การปฏิรูปที่คณะสงฆ์มาประชุมกันเพื่อจะทำนี้ ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะทันกับกระแสโลกที่หมุนเร็วจี๋หรือไม่. แต่ก็ดีกว่าไม่คิดทำอะไรเลยนะ

อปฺปมาโท อมตํ ปทํ. ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ. เย ปมตฺตา ยถา มตา

ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย
ส่วนผู้ประมาทเหมือนคนตายแล้ว

เชื่อไหมว่า ถ้าไม่แปลให้ ท่านก็สามารถค้นคำแปลได้จากกูเกิล

บทความนี้ถึงจะหาทางออกของปัญหาที่ชัดเจนยังไม่ได้ แต่ก็ขอเป็นประหนึ่งท่อนไม้ที่จะช่วยเขี่ยกบให้พ้นจากการถูกต้มก็ยังดี ดูคลิปที่ท่านอธิการได้บรรยายไว้ที่อื่น มีเนื้อหาคล้ายกัน https://youtu.be/1_EJ4jp7Aaw

ข้อสังเกต ปัจจุบันนี้มนุษย์สามารถประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆได้สารพัด เพื่อสนองตัณหาของตนได้ ทำไมไม่คิดประดิษฐ์เครื่องมือตัดกิเลสตัณหาขึ้นมาให้ใช้กันบ้าง โลกจะได้สงบสุขกว่านี้

ป.ธาดา
1 กุมภาพันธ์ 2562″

โยมปรับแล้ว พระคุณเจ้าปรับตัวหรือยัง!!! เป็นพรหมลูกฟัก ระวังตกสวรรค์!!!

Leave a Reply