ส่อง!! มจร ยุคเปลี่ยนผ่าน??

        จ้าคุณ พระพรหมบัณฑิต อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บรรยายให้สาธารณะฟังอยู่เสมอ  ๆ  ว่า มจร ยุคนี้ เป็นยุคที่ 4 โดยพระคุณเจ้าได้แบ่งระยะเวลา 120 ปีที่ผ่านมาของ มจร ออกเป็น 4 ยุค ดังนี้

มจร 1.๐ MCU 1.0  ยุคราชวิทยาลัย

มจร 2.๐ MCU 2.0 ยุคมหาวิทยาลัยสงฆ์

มจร 3.๐ MCU 3.0 ยุคมหาวิทยาลัยของรัฐ

มจร 4.๐ MCU 4.0 ยุคมหาวิทยาลัยนานาชาติ

         หมายความว่าตอนนี้ มจร กำลังพัฒนาไปสู่นานาชาติหรือความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าชื่อเสียงมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่แผ่ไปได้ทั่วโลกตอนนี้  ทั้งหมดก็เพราะบารมีและความสามารถของอดีตอธิการบดีคนเก่าคือ พระพรหมบัณฑิต

       หลายปีมานี้ผมสังเกตอยู่เงียบ ๆ ประเภทแอบดูการบริหารจัดการในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่ามกลางมีเสียงกระซิบว่า  “สมบัติผลัดการกิน” และ “หัวโขน” ที่ผลัดการใส่ ของคณาจารย์และรุ่นพี่ ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อันนี้ผมในฐานะคนนอกและศิษย์เก่าต้องถามว่า “จริงหรือไม่”  แต่สิ่งที่ผมเห็นและได้รับข้อมูลจากคนข้างในมากพอสมควรนั่นก็คือว่า มีกลุ่มประเภททำตัวเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้อยู่ 2-3 กลุ่ม ทั้งกลุ่มกินอิฐกินปูน ทั้งกลุ่มเปิดหลักสูตรโครงการพิเศษ ทั้งกลุ่มพวกผลประโยชน์ทับซ้อน  อันนี้ยังไม่นับประเภทเจ้าหน้าที่ลูกท่านหลานเธอ ที่เข้าไปแล้วไปทำลายระบบการบริหาร การสั่งการแทบเป็นง่อย  เรื่องเหล่านี้แม้แต่ในยุคพระพรหมบัณฑิตก็แก้ไม่ตก เพราะติดคำว่า เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง

         หลายปีมานี้ผมทั้งได้ยินการเล่าขานว่า มีกลุ่มเงาทะมึนของ “อดีตคนห่มเหลือง” ที่แผ่รัสมีคุมการบริหารอยู่ใน มจร  สิ่งที่ได้ยินจากคนที่อุปถัมภ์มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้เล่าด้วยตัวเองก็คือ ในมจร มีคนกินอิฐกินปูน” อันนี้จริงหรือไม่ ต้องรอพิสูจน์ และสิ่งที่ผมเห็นก็คือ สมบัติผลัดกันกิน หมายความว่า คณาจารย์ รุ่นพี่ บางรูปบางคน บางรูปบางคนเป็นรองอธิการบดีถึง  2-3 วาระผลัดการหมุนเวียนอยู่นั่นแหละ  ไม่ยอมลงจากหัวโขนสักที ทั้ง ๆ ที่คนเก่ง คนดี คนมีความสามารถรออยู่เพียบ   บางรายซ้ำร้ายกว่านั้น แม้หมดวาระจากรองอธิการบดีแล้ว ก็มาครองในตำแหน่ง คณบดีบ้าง รองคณบดีบ้าง หรือแม้กระทั้งผอ.สำนักบ้าง  อย่างนี้คำว่า รุ่นพี่รุ่นน้อง เราอยู่กันแบบครอบครัวในจิตวิญญานท่านหายไปไหนหมด หรือคำว่า รุ่นพี่รุ่นน้อง ท่านสะกดเป็นเฉพาะตอนอยู่ในตำแหน่งเท่านั่น

            ส่วนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตอนนี้ใน มจร มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า บางคนคุมหน่วยงานแห่งหนึ่งมาหลายสิบปี แต่ตนเองและคู่ครองไปเปิดธุรกิจเหมือนกับงานที่ตนเองคุมอยู่ และมีหลายคนที่ทำในลักษณะนี้ เสียงแบบนี้จริงหรือไม่ ก็ต้องรอพิสูจน์เช่นกัน   กรณีเสียงวิจารณ์เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนี้ ผมไม่ทราบว่ากรรมการสภามหาจุฬา ฯ หรืออธิการบดีปัจจุบันปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้เรื้อรังมาอันยาวนานได้อย่างไร แต่ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า “ท่านรู้ แต่ไม่อยากยุ่ง”  อันนี้คือผลร้ายของความเป็นสถาบันที่บริหารแบบพี่แบบน้อง ส่วนหน่อยงานใดบ้างผมคิดว่า คนใน มจร รู้ดี

            มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยการที่จะพยายามก้าวไปสู่ความเป็นสากลให้ได้ ผมว่าถึงเวลาต้องปัดกวาดบ้านตัวเองแล้ว ตอนนี้เรากิน “บุญเก่า” ที่อธิการบดีคนเก่าสร้างเอาไว้ อธิการบดีคนใหม่ท่านต้องกล้าขจัด “รุ่นพี่ รุ่นน้องหรือเพื่อน” ที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาสร้างความถดถอยให้มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ ท่านต้องแสดงความเป็นภาวะผู้นำ เพื่อนคนไหนไม่ดี รุ่นน้องคนไหนไม่เก่งต้องขจัดไป เปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสโชว์ฝีมือบ้าง เพราะทราบว่าตัวท่านอธิการบดีเองก็เป็นคนตรง และขึ้นมาสู่ตำแหน่งประเภท “ตาอยู่” ไม่มีกลุ่ม ไม่มีก๊ก ส่วนจะขึ้นมาอย่างไร ใครสงัดใคร ไปกดดันด้วยข้อมูลอะไร หลังจบภารกิจคัดสรรอธิการบดีแล้วมีการขอขมากันจริงหรือไม่ นี่ก็อีกกรณีที่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจาก วังน้อย “ แต่ไม่มีข้อมูลยืนยันเป็นเพียงเสียงแว่ว ๆ มาตามสายลม

            หรือแม้กระทั้งตอนที่เลือก กรรมการสมาคมชุดใหม่ มีคนเก่าบางคนที่หลุดออกไป วิ่งเข้าไปหาพระผู้ใหญ่ระดับสมเด็จองค์หนึ่งเพื่อล๊อบบี้ วิ่งเข้าไปกราบอธิการบดีคนเก่าเพื่อให้ช่วย จนมีรองอธิการบดีคนหนึ่งต้องออกโรงสยบความเคลื่อนไหว ไกล่เกลี่ยจนคนวิ่งล๊อบบี้ประสบความสำเร็จ อันนี้จริงหรือไม่ ก็ไม่รู้ว่าหัวโขนมันสำคัญอย่างไร เพราะทุกวันนี้สมาคมศิษย์เก่า มจร มีคนวิจารณ์ว่าเป็นเพียงแค่ “ชมรมพนักงาน มจร” เท่านั่น เพราะศิษย์เก่าข้างนอกไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอะไรเลย ชงเอง ตั้งเอง ภายในมหาวิทยาลัยด้วยกันเท่านั่น

            มีหลายเรื่องที่คนข้างในได้ให้ข้อมูลมา และมีหลายเรื่องที่พวกผมในฐานะศิษย์เก่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเลิกเสียเถอะเอาคนที่เคยครองตำแหน่งสูง ๆ เมื่อหมดวาระแล้วมาเบียดเบียนตำแหน่งคณบดีบ้าง รองคณบดีบ้าง ผอ.สำนักบ้าง รุ่นพี่ที่มีเมตตาธรรม สถาบันที่มีธรรมาภิบาล ไม่ควรทำแบบนี้ บางคนซ้ำร้ายกว่านั่นอายุเกิน 60 ปีแล้วก็ยังมาครองมากินตำแหน่งเหล่านี้อยู่ได้ เชื่อผมเถอะรุ่นน้องเก่งกว่าเยอะ วันนี้ยอมถูกต่อว่า ศิษย์ล้างครู เพื่อสถาบันอันเป็นที่รัก..

 

//////////////////////////

ผู้เขียน : นายสัจจวาที

ขอบคุณภาพ :https://www.onbnews.com

                       http://nkr.mcu.ac.th/

Leave a Reply