สัมภาษณ์พิเศษ : ดร.เสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ) : โดย อุทัย มณี
“หลังรัฐประหาร หลุดจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี ตกงานต้องไปเร่ขายสมุนไพร ชีวิตค่อนข้างลำบาก แต่ยามนั้นทุกคนก็ต้องกลืนเลือดตัวเอง..ผมเคลื่อนไหวด้านศาสนาไม่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากพระสงฆ์แม้บาทเดียว เว้นผ้าไตรและสังฆทานเวลาเรามีงานบุญ และทุกอย่างเราทำด้วยใจรักเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ซึ่งการเมืองตอนนี้ เมื่อรัฐบาล คสช.เขาต้องการความสงบ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง สนพ.ในฐานะองค์ชาวพุทธก็ยอมรับและเราก็นิ่ง แต่เราก็จับตาความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์อยู่ในที่ตั้ง..”

ในแวดวงคณะสงฆ์ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาและชาวพุทธ น้อยมากที่ไม่รู้จักมักคุ้นกับชื่อนักเคลื่อนไหวปกป้องพระพุทธศาสนา นักเคลื่อนไหวปกป้องคณะสงฆ์ และนักเคลื่อนไหวให้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ “แดงสายวัด” นี้ถือว่าเป็นขุนพลคู่กายของ “พระเมธีธรรมาจารย์และเจ้าคุณโชว์” ประเภทมองตาก็รู้ใจ เฉียดติดคุกติดตะรางหลายครั้ง
สองขุนพลแดงสายวัดประกอบด้วย หนึ่ง ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา สอง ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ถือว่าเป็นทัพหน้าที่คณะสงฆ์สายการเมืองประเภทฮาร์ดคอร์จำเป็นต้องใช้เวลามีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์และจำเป็นต้องออกถนนเพื่อพระพุทธศาสนา
หลังรัฐประหารเมื่อปี 2557 ชีวิต ดร.เสถียร วิพรมหา ถึงจุดเปลี่ยน เมื่อหลุดจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) เนื่องจากเป็นแดงสายวัดประเภทเด็กวัด ไม่มีต้นทุนทางสังคม ไม่มีต้นทุนด้านทรัพย์หรือธุรกิจเหมือนนักการเมืองทั่วไป แบกหน้าไปของานจากเครือข่ายคนที่รู้จัก ยามนั้นทุกคนต้องกลืนกินเลือด ชีวิตผลิกพลันจากเลขานุการรัฐมนตรีต้องเร่ขายยาสมุนไพร ประทังชีวิต
บ่ายวันหนึ่งผมนัด ดร.เสถียร วิพรมหา ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งแถวปิ่นเกล้า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ ดร.เสถียร วิพรมหา สัมภาษณ์สื่ออย่างเป็นทางการในฐานะคนวัดด้วยกัน ตอบทุกคำถามที่สังคมแคลงใจทั้งเรื่อง จริงหรือไม่หลังรัฐประหารชีวิตตกอับจนต้องไปเร่ขายยาสมุนไพรตามวัด จริงหรือไม่ ดร.เสถียรและสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ) รับเงินพระมาเคลื่อนไหวทางการเมือง มองการเมืองตอนนี้อย่างไร วิเคราะห์พรรคการเมืองชาวพุทธจะไปรอดหรือไม่ เจาะลึกแม้กระทั้งที่ว่าใครเป็นคนแรกชวนให้ไปเป็นเลขานุการรัฐมนตรี คำตอบทั้งหมดอยู่ภายใต้หมวกของ นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา..
Δ ห่างหายจากข่าวมานานพอสมควร ตอนนี้ทำอะไรอยู่
หลังจากพ้นตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งสุดท้ายคือ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่กับการเมืองประมาณ 3 ปีกว่า (เป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี+เลขานุการรัฐมนตรี) ก็เกิดรัฐประหาร เราทำหน้าที่ที่รัฐบาลและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกมอบหมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ดูแลการประสานงานเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจการด้านพุทธศาสนาและเรื่องเฉพาะกิจการด้านความมั่นคงพุทธศาสนา
หลังเกิดรัฐประหารไม่ได้ทำงานการเมือง ก็ไปตั้งสมาคมสนพ. (สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา) อันเป็นองค์กรสำหรับคฤหัสถ์ของชาวพุทธ ซึ่งก็มีพระสงฆ์เป็นที่ปรึกษา ช่วงนั้นก็มีกระแสเรื่องพระพุทธศาสนาหลายเรื่องและเราก็เคลื่อนไหว เช่น ภาพยนต์เรื่องอาบัติ เรื่องภิกษุณี เรื่องการปฎิรูปคณะสงฆ์ เรื่องการขับเคลื่อนพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติ ตอนนั้น สนพ.ก็มีบทบาทไปร่วมแสดงความคิดเห็น ในขณะเดียวกันก็ได้มีโอกาสกลับเข้ามาทำงานรับใช้คณะสงฆ์ใน มมร(มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย) ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำอยู่ในคณะสังคมศาสตร์และอีกหน้าที่คือเป็นผู้ช่วยอธิการบดีด้านกิจการคณะสงฆ์ ก็ทำบนหน้าที่ที่ผู้บริหารหรืออธิการบดี มมร มอบหมาย ตอนนี้เรื่องการเมืองก็พัก หันมาทุ่มเทกับงานสอน และงานวิจัยเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ
Δ ทราบว่าชีวิตหลังขนออกจากทำเนียบ หลังรัฐประหาร ชีวิตลำบากมาก
ใช่ ชีวิตตอนนั้นลำบากมาก ซึ่งก็พยายามจะกลับมาสอนหนังสือเหมือนเดิม ผู้บริหาร มมร ท่านก็เมตตา แต่บางเรื่องมันติดขัดด้านกฎหมายก็ต้องรอ กลไก ขั้นตอนมันช้า และในยุคนั้นมมร มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านผู้บริหารด้วย เลยต้องอดทน แต่ก็ใช้ยามว่างงานตกงาน มช่วยงานคณะสงฆ์จึงเกิด สนพ.ขึ้น
“ช่วงนั้นรายได้ไม่มี ก็ไปขายยาสมุนไพรกับบริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อประทังชีวิต และอดทนรอเพื่อรอกลับมายัง มมร.ทำงานแบบนี้ประมาณ 3-4 เดือน..”
ปัจจุบันแม้ใจจะรักพระพุทธศาสนา เคารพพระสงฆ์แต่เงื่อนไขทางการเมืองและเวลา มันไม่ใช่ อีกอย่างผมก็อยู่ในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ในกำกับของรัฐ อันไหนทำแล้วผู้บริหารไม่สบายใจหรือทางการเมือง ความมั่นคง อาจจับตา ก็จะไม่ทำ บริบทต่าง ๆ ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวย แต่ก็ไม่ได้หมายว่านิ่งหรืออยู่เฉย ๆ ตอนนี้ก็เฝ้ามองและจับตาสถานการณ์ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจการคณะสงฆ์ แต่อย่างที่บอกเนื่องจากเราอยู่ในฐานะหน่วยงานที่เป็นของรัฐและรัฐบาลเขาก็ต้องการความสงบเรียบร้อยเราทุกคนก็นิ่งอยู่ในที่ตั้ง
Δ อาจารย์ถือว่าเป็นเครือข่ายคุณทักษิณ ชินวัตร เครือข่ายเพื่อไทยและแดงสายวัด รับใช้งานคณะสงฆ์มาอันยาวนาน ตกงาน ชีวิตไม่มีรายได้ ทำไมไม่ไปขอพึ่งจากคนเหล่านี้
คือต้องเข้าใจว่า เราเข้าไปอยู่พรรคเพื่อไทยก็จริง แต่เราไม่ได้เป็นส.ส. เราเข้าไปในบทบาทคนทำงานด้านพระพุทธศาสนา คือ เราเหมือนตัวแทนพระสงฆ์และชาวพุทธ ไปอยู่ตรงนั้น เพราะเราเข้าใจเรื่องงานของคณะสงฆ์และเชื่อมโยงกับคณะสงฆ์ได้ เขาก็ชวนเราไปอยู่ตรงนั้น เข้าไปด้วยคุณงามความดี ไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง จบงานตรงนั้นก็หมดภารกิจกลับวัด กลับมาสู่จุดเดิม คือทำงานรับใช้คณะสงฆ์และมหาวิทยาลัย
Δ ครั้งแรก ใครชวนเข้าไปทำงานการเมือง
คือ เราทำงานกับพรรคเพื่อไทย ไปเป็นพิธีกรในงานบุญ งานที่เกี่ยวข้องกับศาสนพิธีเป็นงานศาสนา เขาก็คงเห็นเราอยู่ว่าเรามีอะไร ช่วงนั้นหากจำไม่ผิดจะมีการปรับ ครม. 3 ภายใต้การนำของนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาทำงานบุญตามวัดในกรุงเทพบ้าง ในต่างจังหวัดบ้าง พระสงฆ์ก็ให้เราไปเป็นพิธีกร อาราธนาศีล เป็นเจ้าศาสนพิธี เจอกันบ่อยก็เลยรู้จักมักคุ้นกัน ซึ่งความจริงก่อนที่จะเป็นเลขานุการรัฐมนตรีนั้นก็ไปช่วยงานคณะสงฆ์อยู่แล้วและตามงานก็ได้มีโอกาสเจอท่านสมชายบ้าง คุณพงษ์เทพ เทพกาญจนาบ้าง ผมก็เลยคิดว่าระหว่างพระผู้ใหญ่กับคุณสมชาย คงได้มีโอกาสได้คุยกัน ตอนนั้นเราทำหน้าที่โดยที่เราไม่คิดอะไร พระผู้ใหญ่ท่านก็คงคิดว่า ในทางปฎิบัติเราไม่มีตัวแทนหรือตัวเชื่อมที่เป็นคนวัดและคนที่เข้าใจงานคณะสงฆ์จริง ๆ ก็คงมีโอกาสฝากฝังและพูดคุยกับทางการเมือง ก็อยากมีคนของเราเข้าไปอยู่ด้วย
Δ สรุปก็คือ ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไปทำงานบุญตามวัด แล้วเจอพระผู้ใหญ่ พระผู้ใหญ่คงเห็นว่าดร.เสถียรหน่วยก้านดีรับใช้คณะสงฆ์ได้คล่อง ทางคณะสงฆ์ก็อยากให้มีคนเชื่อมระหว่างรัฐบาลกับคณะสงฆ์ก็ฝากฝังชื่อไปให้ทางการเมืองไปพิจารณา ใครคือคนโทรมาชวนครั้งแรก
ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พูดเพียงแต่บอกว่าจะมีตำแหน่งทางการเมืองให้ ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าตำแหน่งอะไร
Δ ตอนที่ถูกชวนให้ไปรับตำแหน่งทางการเมืองยังอยู่ มมร หรือไม่
ไม่ครับ.. ออกจาก มมร ไปช่วยงานสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอยู่เกือบ 2 ปีแล้ว ปรับครม.แล้ว จึงมาเป็นเลขานุการรัฐมนตรี ตอนที่ทำงานการเมืองในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แม้ชื่อมันจะบอกว่าทำงานการเมือง แต่ในความจริงคือ ทำงานเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการคณะสงฆ์ ประสานงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ
Δตอนที่ออกจากเลขานุการรัฐมนตรี ช่วงชีวิตลำบากพรรคการเมืองรู้ไหม ผู้ใหญ่ที่เคยชวนรู้ไหม
ก็น่าจะรู้นะ พระที่เคยเมตตากับเราอย่างเจ้าคุณเมธีธรรมาจาย์ ท่านก็รู้ หรือแม้กระทั้ง ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ท่านก็รู้ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจกันตลอด การที่เราไปอบรม ไปขายยาสมุนไพร ทุกคนก็น่าจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ยามนั่นทุกคนก็ลำบาก ถูกจับตา ต้องกลืนเลือดกันทั้งนั้น ซึ่งเราก็เข้าใจ
Δเข็ดไหมกับการเมือง เพราะดูแล้วการเมือง ไม่มีความจริงใจ
ผมคิดว่าการเมืองมีหลายรูปแบบ มันมีระดับของมัน เช่นสถานะทางสังคม สถานะที่สนับสนุนทางการเมือง แต่สำหรับผมคือผมมีใจอยากช่วยและก็เป็นคนของคณะสงฆ์ มีน้ำหนักด้านนี้เท่านั้น จึงบอกว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เขาก็คงไม่ได้ไปดูแลทุกคน เพราะทุกคนก็ต้องกลืนเลือดกันทั้งนั้น ชีวิตผมเหมือนสังกัดทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้ความช่วยเหลือจากใคร เพราะเราไปจากคณะสงฆ์
ตอนที่ผมปรารภเรื่องงาน เรื่องชีวิตลำบาก คนที่รู้เรื่องชีวิตเราดีที่สุด คือ เจ้าคุณเมธีธรรมาจารย์หรือเจ้าคุณประสาน ว่า ชีวิตตอนนี้ลำบาก ไม่มีงาน แต่ท่านก็ให้กำลังใจในฐานะพระสงฆ์ที่เราเคารพนับถือ แต่ทำไงได้ชีวิตทุกคนมันก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้ยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองให้ได้
Δ บุคคลากรพุทธศาสนา ดร.เสถียร วิพรมหา เด่นมาก ชาวพุทธให้เครดิต พระผู้ใหญ่เมตตา อาจารย์น่าจะมีมวลชนบ้างไม่มากก็น้อย ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง มีพรรคการเมือง เคยติดต่อมาบ้างไหม เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ
คือตอนนี้ จากบทบาทและสถานะที่เราเป็นอยู่ พรรคการเมืองเอง ก็น่าจะรู้ว่าหากจะชวนเรา จะต้องทำอย่างไร และตอนนี้เราเองก็ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใดเลย แต่ถามว่ามีการพูดคุยกับพรรคการเมืองไหม ต้องตอบว่า มี แต่จากท่าทีของเรา พรรคการเมืองและนักการเมืองที่มาพูดคัย เขาก็คงจะเข้าใจว่า เรามีจุดยืนอย่างไร
Δ พูดตรง ๆ ก็คือ หากพรรคการเมืองใดจะมาชวน ดร.เสถียร วิพรมหา ก็ต้องรับรองอนาคตให้ ดร.เสถียรด้วย เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้ว
ก็ทำนองนั้น..!! เพราะเคยคุยกับพี่น้องพรรคการเมืองชาวพุทธที่ตั้งขึ้นมาใหม่แล้วว่า พวกเรามีต้นทุนต่ำ เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่าง มันจะลำบาก ผมส่งสัญญาณถ่อมตนแบบนี้ออกไป สัญญาณนี้ก็หมายความว่า ผมจะไม่โลดแล่นในทางการเมืองเหมือนเมื่อก่อน หากจะออกไปมันต้องมีหลักประกันชีวิตหลังการเมืองพอสมควรว่า เราจะอยู่กันอย่างไร เมื่อไม่ได้เป็นนักการเมือง


Leave a Reply