ดร.เสถียร วิพรมหา : เปิดมุมมองวิถีชีวิตการเมืองและงานศาสนาผู้ถูกขนามนามว่า “แดงสายวัด”

  สัมภาษณ์พิเศษ :  ดร.เสถียร  วิพรมหา  นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ)   :  โดย  อุทัย มณี

                   “หลังรัฐประหาร หลุดจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี ตกงานต้องไปเร่ขายสมุนไพร ชีวิตค่อนข้างลำบาก แต่ยามนั้นทุกคนก็ต้องกลืนเลือดตัวเอง..ผมเคลื่อนไหวด้านศาสนาไม่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากพระสงฆ์แม้บาทเดียว เว้นผ้าไตรและสังฆทานเวลาเรามีงานบุญ และทุกอย่างเราทำด้วยใจรักเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ซึ่งการเมืองตอนนี้ เมื่อรัฐบาล คสช.เขาต้องการความสงบ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง สนพ.ในฐานะองค์ชาวพุทธก็ยอมรับและเราก็นิ่ง แต่เราก็จับตาความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์อยู่ในที่ตั้ง..”

                  ในแวดวงคณะสงฆ์ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาและชาวพุทธ น้อยมากที่ไม่รู้จักมักคุ้นกับชื่อนักเคลื่อนไหวปกป้องพระพุทธศาสนา นักเคลื่อนไหวปกป้องคณะสงฆ์ และนักเคลื่อนไหวให้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ “แดงสายวัด” นี้ถือว่าเป็นขุนพลคู่กายของ “พระเมธีธรรมาจารย์และเจ้าคุณโชว์”  ประเภทมองตาก็รู้ใจ เฉียดติดคุกติดตะรางหลายครั้ง

                  สองขุนพลแดงสายวัดประกอบด้วย หนึ่ง ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา สอง ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์  ถือว่าเป็นทัพหน้าที่คณะสงฆ์สายการเมืองประเภทฮาร์ดคอร์จำเป็นต้องใช้เวลามีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์และจำเป็นต้องออกถนนเพื่อพระพุทธศาสนา

                  หลังรัฐประหารเมื่อปี 2557 ชีวิต ดร.เสถียร วิพรมหา ถึงจุดเปลี่ยน เมื่อหลุดจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์)  เนื่องจากเป็นแดงสายวัดประเภทเด็กวัด ไม่มีต้นทุนทางสังคม ไม่มีต้นทุนด้านทรัพย์หรือธุรกิจเหมือนนักการเมืองทั่วไป แบกหน้าไปของานจากเครือข่ายคนที่รู้จัก ยามนั้นทุกคนต้องกลืนกินเลือด ชีวิตผลิกพลันจากเลขานุการรัฐมนตรีต้องเร่ขายยาสมุนไพร ประทังชีวิต

                   บ่ายวันหนึ่งผมนัด ดร.เสถียร วิพรมหา ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งแถวปิ่นเกล้า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ ดร.เสถียร วิพรมหา สัมภาษณ์สื่ออย่างเป็นทางการในฐานะคนวัดด้วยกัน ตอบทุกคำถามที่สังคมแคลงใจทั้งเรื่อง จริงหรือไม่หลังรัฐประหารชีวิตตกอับจนต้องไปเร่ขายยาสมุนไพรตามวัด จริงหรือไม่ ดร.เสถียรและสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ) รับเงินพระมาเคลื่อนไหวทางการเมือง มองการเมืองตอนนี้อย่างไร วิเคราะห์พรรคการเมืองชาวพุทธจะไปรอดหรือไม่ เจาะลึกแม้กระทั้งที่ว่าใครเป็นคนแรกชวนให้ไปเป็นเลขานุการรัฐมนตรี คำตอบทั้งหมดอยู่ภายใต้หมวกของ นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา..

Δ ห่างหายจากข่าวมานานพอสมควร ตอนนี้ทำอะไรอยู่

            หลังจากพ้นตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งสุดท้ายคือ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่กับการเมืองประมาณ 3 ปีกว่า (เป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี+เลขานุการรัฐมนตรี)  ก็เกิดรัฐประหาร เราทำหน้าที่ที่รัฐบาลและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกมอบหมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ดูแลการประสานงานเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจการด้านพุทธศาสนาและเรื่องเฉพาะกิจการด้านความมั่นคงพุทธศาสนา

            หลังเกิดรัฐประหารไม่ได้ทำงานการเมือง ก็ไปตั้งสมาคมสนพ. (สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา)  อันเป็นองค์กรสำหรับคฤหัสถ์ของชาวพุทธ ซึ่งก็มีพระสงฆ์เป็นที่ปรึกษา ช่วงนั้นก็มีกระแสเรื่องพระพุทธศาสนาหลายเรื่องและเราก็เคลื่อนไหว เช่น ภาพยนต์เรื่องอาบัติ เรื่องภิกษุณี เรื่องการปฎิรูปคณะสงฆ์ เรื่องการขับเคลื่อนพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติ ตอนนั้น สนพ.ก็มีบทบาทไปร่วมแสดงความคิดเห็น ในขณะเดียวกันก็ได้มีโอกาสกลับเข้ามาทำงานรับใช้คณะสงฆ์ใน มมร(มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย) ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำอยู่ในคณะสังคมศาสตร์และอีกหน้าที่คือเป็นผู้ช่วยอธิการบดีด้านกิจการคณะสงฆ์  ก็ทำบนหน้าที่ที่ผู้บริหารหรืออธิการบดี มมร มอบหมาย  ตอนนี้เรื่องการเมืองก็พัก หันมาทุ่มเทกับงานสอน และงานวิจัยเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ

Δ ทราบว่าชีวิตหลังขนออกจากทำเนียบ หลังรัฐประหาร ชีวิตลำบากมาก

            ใช่ ชีวิตตอนนั้นลำบากมาก ซึ่งก็พยายามจะกลับมาสอนหนังสือเหมือนเดิม ผู้บริหาร มมร ท่านก็เมตตา แต่บางเรื่องมันติดขัดด้านกฎหมายก็ต้องรอ กลไก ขั้นตอนมันช้า และในยุคนั้นมมร มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านผู้บริหารด้วย เลยต้องอดทน แต่ก็ใช้ยามว่างงานตกงาน มช่วยงานคณะสงฆ์จึงเกิด สนพ.ขึ้น

           ช่วงนั้นรายได้ไม่มี ก็ไปขายยาสมุนไพรกับบริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อประทังชีวิต และอดทนรอเพื่อรอกลับมายัง มมร.ทำงานแบบนี้ประมาณ 3-4 เดือน..”

            ปัจจุบันแม้ใจจะรักพระพุทธศาสนา เคารพพระสงฆ์แต่เงื่อนไขทางการเมืองและเวลา มันไม่ใช่ อีกอย่างผมก็อยู่ในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ในกำกับของรัฐ อันไหนทำแล้วผู้บริหารไม่สบายใจหรือทางการเมือง ความมั่นคง อาจจับตา ก็จะไม่ทำ บริบทต่าง ๆ ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวย แต่ก็ไม่ได้หมายว่านิ่งหรืออยู่เฉย ๆ  ตอนนี้ก็เฝ้ามองและจับตาสถานการณ์ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจการคณะสงฆ์ แต่อย่างที่บอกเนื่องจากเราอยู่ในฐานะหน่วยงานที่เป็นของรัฐและรัฐบาลเขาก็ต้องการความสงบเรียบร้อยเราทุกคนก็นิ่งอยู่ในที่ตั้ง

Δ  อาจารย์ถือว่าเป็นเครือข่ายคุณทักษิณ ชินวัตร เครือข่ายเพื่อไทยและแดงสายวัด รับใช้งานคณะสงฆ์มาอันยาวนาน ตกงาน ชีวิตไม่มีรายได้ ทำไมไม่ไปขอพึ่งจากคนเหล่านี้

            คือต้องเข้าใจว่า เราเข้าไปอยู่พรรคเพื่อไทยก็จริง แต่เราไม่ได้เป็นส.ส. เราเข้าไปในบทบาทคนทำงานด้านพระพุทธศาสนา คือ เราเหมือนตัวแทนพระสงฆ์และชาวพุทธ ไปอยู่ตรงนั้น เพราะเราเข้าใจเรื่องงานของคณะสงฆ์และเชื่อมโยงกับคณะสงฆ์ได้ เขาก็ชวนเราไปอยู่ตรงนั้น เข้าไปด้วยคุณงามความดี ไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง จบงานตรงนั้นก็หมดภารกิจกลับวัด กลับมาสู่จุดเดิม คือทำงานรับใช้คณะสงฆ์และมหาวิทยาลัย

Δ ครั้งแรก ใครชวนเข้าไปทำงานการเมือง

            คือ เราทำงานกับพรรคเพื่อไทย ไปเป็นพิธีกรในงานบุญ งานที่เกี่ยวข้องกับศาสนพิธีเป็นงานศาสนา เขาก็คงเห็นเราอยู่ว่าเรามีอะไร  ช่วงนั้นหากจำไม่ผิดจะมีการปรับ ครม. 3 ภายใต้การนำของนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาทำงานบุญตามวัดในกรุงเทพบ้าง ในต่างจังหวัดบ้าง พระสงฆ์ก็ให้เราไปเป็นพิธีกร อาราธนาศีล เป็นเจ้าศาสนพิธี เจอกันบ่อยก็เลยรู้จักมักคุ้นกัน ซึ่งความจริงก่อนที่จะเป็นเลขานุการรัฐมนตรีนั้นก็ไปช่วยงานคณะสงฆ์อยู่แล้วและตามงานก็ได้มีโอกาสเจอท่านสมชายบ้าง คุณพงษ์เทพ เทพกาญจนาบ้าง ผมก็เลยคิดว่าระหว่างพระผู้ใหญ่กับคุณสมชาย คงได้มีโอกาสได้คุยกัน ตอนนั้นเราทำหน้าที่โดยที่เราไม่คิดอะไร พระผู้ใหญ่ท่านก็คงคิดว่า ในทางปฎิบัติเราไม่มีตัวแทนหรือตัวเชื่อมที่เป็นคนวัดและคนที่เข้าใจงานคณะสงฆ์จริง ๆ  ก็คงมีโอกาสฝากฝังและพูดคุยกับทางการเมือง ก็อยากมีคนของเราเข้าไปอยู่ด้วย

Δ สรุปก็คือ ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไปทำงานบุญตามวัด แล้วเจอพระผู้ใหญ่ พระผู้ใหญ่คงเห็นว่าดร.เสถียรหน่วยก้านดีรับใช้คณะสงฆ์ได้คล่อง ทางคณะสงฆ์ก็อยากให้มีคนเชื่อมระหว่างรัฐบาลกับคณะสงฆ์ก็ฝากฝังชื่อไปให้ทางการเมืองไปพิจารณา ใครคือคนโทรมาชวนครั้งแรก

            ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์  พูดเพียงแต่บอกว่าจะมีตำแหน่งทางการเมืองให้  ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าตำแหน่งอะไร

Δ ตอนที่ถูกชวนให้ไปรับตำแหน่งทางการเมืองยังอยู่ มมร หรือไม่

            ไม่ครับ.. ออกจาก มมร  ไปช่วยงานสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอยู่เกือบ 2 ปีแล้ว ปรับครม.แล้ว จึงมาเป็นเลขานุการรัฐมนตรี  ตอนที่ทำงานการเมืองในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แม้ชื่อมันจะบอกว่าทำงานการเมือง แต่ในความจริงคือ ทำงานเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการคณะสงฆ์ ประสานงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ

Δตอนที่ออกจากเลขานุการรัฐมนตรี ช่วงชีวิตลำบากพรรคการเมืองรู้ไหม ผู้ใหญ่ที่เคยชวนรู้ไหม

            ก็น่าจะรู้นะ พระที่เคยเมตตากับเราอย่างเจ้าคุณเมธีธรรมาจาย์ ท่านก็รู้ หรือแม้กระทั้ง ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์   ท่านก็รู้ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจกันตลอด การที่เราไปอบรม ไปขายยาสมุนไพร ทุกคนก็น่าจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ยามนั่นทุกคนก็ลำบาก ถูกจับตา ต้องกลืนเลือดกันทั้งนั้น ซึ่งเราก็เข้าใจ

Δเข็ดไหมกับการเมือง เพราะดูแล้วการเมือง ไม่มีความจริงใจ

            ผมคิดว่าการเมืองมีหลายรูปแบบ มันมีระดับของมัน เช่นสถานะทางสังคม สถานะที่สนับสนุนทางการเมือง แต่สำหรับผมคือผมมีใจอยากช่วยและก็เป็นคนของคณะสงฆ์ มีน้ำหนักด้านนี้เท่านั้น จึงบอกว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เขาก็คงไม่ได้ไปดูแลทุกคน เพราะทุกคนก็ต้องกลืนเลือดกันทั้งนั้น ชีวิตผมเหมือนสังกัดทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้ความช่วยเหลือจากใคร เพราะเราไปจากคณะสงฆ์

         ตอนที่ผมปรารภเรื่องงาน เรื่องชีวิตลำบาก คนที่รู้เรื่องชีวิตเราดีที่สุด คือ เจ้าคุณเมธีธรรมาจารย์หรือเจ้าคุณประสาน ว่า ชีวิตตอนนี้ลำบาก ไม่มีงาน แต่ท่านก็ให้กำลังใจในฐานะพระสงฆ์ที่เราเคารพนับถือ แต่ทำไงได้ชีวิตทุกคนมันก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้ยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองให้ได้

Δ บุคคลากรพุทธศาสนา ดร.เสถียร วิพรมหา เด่นมาก ชาวพุทธให้เครดิต พระผู้ใหญ่เมตตา อาจารย์น่าจะมีมวลชนบ้างไม่มากก็น้อย ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง มีพรรคการเมือง เคยติดต่อมาบ้างไหม เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ

            คือตอนนี้ จากบทบาทและสถานะที่เราเป็นอยู่ พรรคการเมืองเอง ก็น่าจะรู้ว่าหากจะชวนเรา จะต้องทำอย่างไร และตอนนี้เราเองก็ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใดเลย แต่ถามว่ามีการพูดคุยกับพรรคการเมืองไหม ต้องตอบว่า มี แต่จากท่าทีของเรา พรรคการเมืองและนักการเมืองที่มาพูดคัย เขาก็คงจะเข้าใจว่า เรามีจุดยืนอย่างไร

Δ พูดตรง ๆ ก็คือ หากพรรคการเมืองใดจะมาชวน ดร.เสถียร วิพรมหา ก็ต้องรับรองอนาคตให้ ดร.เสถียรด้วย เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้ว

            ก็ทำนองนั้น..!! เพราะเคยคุยกับพี่น้องพรรคการเมืองชาวพุทธที่ตั้งขึ้นมาใหม่แล้วว่า พวกเรามีต้นทุนต่ำ เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่าง มันจะลำบาก ผมส่งสัญญาณถ่อมตนแบบนี้ออกไป สัญญาณนี้ก็หมายความว่า ผมจะไม่โลดแล่นในทางการเมืองเหมือนเมื่อก่อน หากจะออกไปมันต้องมีหลักประกันชีวิตหลังการเมืองพอสมควรว่า เราจะอยู่กันอย่างไร เมื่อไม่ได้เป็นนักการเมือง

Δตอนนี้พรรคการเมืองชาวพุทธที่ประกาศว่าตัวเองเป็นพรรคการเมืองชาวพุทธ มีกี่พรรค

            ตอนนี้เห็นอยู่ 3-4  พรรคมั่ง  เช่น พรรคแผ่นดินธรรม ที่มีคุณกรณ์ มีดี เป็นหัวหน้า พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน ที่มีคุณรักสยาม นามานุภาพ เป็นเลขาธิการพรรค พรรคประชาภิวัฒน์ ที่มี พล.ต.ไชยนาจ ญาติฉิมพลี คนพวกนี้ที่กระจัดกระจายอยู่ตามพรรคต่าง ๆ  ชาวพุทธที่ติดตามเรื่องศาสนา คนทำงานด้านพุทธศาสนาน่าจะมักคุ้นชื่อ และคนพวกนี้คือ เป็นชาวพุทธที่รู้เรื่องพระสงฆ์ รู้เรื่องพระพุทธศาสนาจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็นมหาเปรียญกัน ประโยคเก้าบ้าง จบจาก มมร,มจร แม้แต่พรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ. พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ก็มีตัวแทนชาวพุทธไปอยู่

            หลายพรรคก็มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้าง เพราะทั้งคุณกรณ์ คุณรักสยาม ก็รู้จักกันมาก่อน ทำงานด้านศาสนาร่วมกันมาก่อน แต่ผมจะถ่ายทอดในหลักการนะ ว่าผมทำงานการเมืองเจออะไรบ้างและตอนนี้ผมเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย มีจุดยืนแบบนี้  แม้แต่นโยบายพรรคเราก็คุยกัน แต่ผมคิดว่าเขาก็คงไม่สนใจเราหรอกว่า สิ่งที่เราเสนออยากให้เขาทำนั้น เขาจะรับไปทำ ซึ่งผมก็เสนอในฐานะศิษย์วัด ฐานะมหา แต่ผมก็เสนอแบบเปิด ไม่ได้เข้าไปร่วมด้วยอย่างชัดเจน เหตุผลก็คือ ผมเป็นอาจารย์ มีสังกัด ยังไม่ได้ลาออก หรือเกษียน จึงต้องมีมารยาท ให้เกียรติองค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่

Δ คนการเมืองมองว่าการเมืองไทยตอนนี้มี 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ  กลุ่มทักษิณ ชินวัตร กลุ่มประยุทธ์ จันทรโอชา และกลุ่มอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   คิดว่าใน 3 กลุ่มนี้ ใครมีอนาคตสดใจจะได้ครองแชมป์เลือกตั้ง

            ความคิดส่วนตัวนะ ในทางการเมืองใครมีกลไกมากที่สุด ใครบริหารประเทศอยู่แล้วไปสนับสนุนพรรคใด  พรรคนั้นน่าจะได้เปรียบที่สุด  ตอนนี้ก็คือพรรคพลังประชารัฐ ที่มีกลไกทางการเมืองดี มีกลุ่มคนหลายกลุ่มมารวมตัวกัน ซ้ำมีอำนาจทางการเมืองเข้าไปอุดหนุน น่าจะได้เปรียบที่สุด เราจะไม่พูดถึงคุณประยุทธ์ เพราะคุณประยุทธ์  มิใช่พรรคการเมือง และตอนนี้ท่านเองก็ยังไม่สังกัดพรรคการเมือง แต่เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เข้ามารับผิดชอบช่วงที่บ้านเมืองมีปัญหา แต่จะเชื่อมโยงกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ผมไม่วิจารณ์ แต่ผมคิดว่าปีกพลังประชารัฐตอนนี้ด้วยกลไกต่าง  ๆ น่าจะได้เปรียบที่สุด อีกเรื่องหนึ่งที่รัฐธรรมนูญตีกรอบเอาไว้ที่ได้เปรียบคือ ส.ว. 250 คนเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เบอร์หนึ่งน่าจะอันนี้

            อีกพรรคคือ พรรคเพื่อไทย พื้นฐานประชาชนชอบ เพราะมีนโยบายประชานิยมปัจจุบันก็คือ นโยบายประชารัฐ เป็นนโยบายที่ประชาชนสัมผัสได้

            ผมคิดว่า พรรคประชารัฐมีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยรวมทั้งเครือข่าย อันนี้ต้องวัดกันที่สนามเลือกตั้ง อันนี้ผมมองจากคนนอกนะไม่ได้มีอคติ

            แต่ถ้าจะให้ฟันธงเรียงลำดับต้องบอกตรง ๆว่า หนึ่ง พรรคประชารัฐ สอง พรรคเพื่อไทย และสาม พรรคประชาธิปัตย์

Δสังคมทราบว่า ดร.เสถียร วิพรมหา ใกล้ชิดกับพระผู้ใหญ่ เคลื่อนไหวด้านปกป้องพระพุทธศาสนามานาน มีเครือข่าวนักวิชาการพุทธมากมาย มีคำถามว่าพระผู้ใหญ่ระดับกรรมการมหาเถรสมาคมที่มากบารมี 3 รูป หนีไปอยู่ต่างประเทศ 1 รูป ทำไมต้องเป็น 3 รูปนี้

            ผมยังมองว่า การที่พระเถระถูกคดีความนั้น ผมเห็นว่า มันเป็นสิ่งที่ผมว่า เรามองบริบทต่าง ๆ เราต้องการความสงบ คือ เราไม่ได้กลัวนะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมา ผมไม่มีข้อมูลเหมือนเขาทีดำเนินการกับพระเถระ ซึ่งในอายุขัยเรานี้ เราก็ไม่เคยเห็นและไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน หรือก่อนหน้านั้นก็อาจจะมีกรณีพระพิลมธรรม ตอนนั้นเราก็ยังเป็นเด็ก ผมก็ยังมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ผมก็ไม่สามารถวิจารณ์ได้ ในส่วนตัวผมนะเพราะผมไม่มีข้อมูลเหมือนคนที่กระทำการจับกุมและก็ขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติและพระเหล่านั้นว่า สิ่งที่ทำถูกต้องไหม นี่คือความสงบไหม เราจะไม่ว่าถูกไหมหรือไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่มีข้อมูล

Δในกลุ่มเครือข่ายชาวพุทธ และสนพ.เคยยกประเด็นเหล่านี้มาพุดคุยกันบ้างไหม

              ก็ส่วนในกลุ่มชาวพุทธเราก็เป็นห่วง เรื่องพระพุทธศาสนาและเราก็ไม่ได้ปกป้องพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง  เรามองในภาพรวมว่าสิ่งที่เหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ณ จุดนันมันมีอะไรพิเศษอยู่ตรงนั้นหรือไม่ แปลว่าฝ่ายที่ดำเนินการเขาอาจจะมีอะไรที่เป็นข้อมูล ที่เราเองก็ไม่รู้ เราจะพูดไปว่าถูกหรือผิดไม่ได้ เราจะไปคัดค้านก็ไม่ได้ เพราะเราไม่มีข้อมูล แต่บทบาทสนพ.คือ เราทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาโดยรวมไม่ได้เจาะลงไปที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งแม้บุคคลนั้นจะเป็นครูอาจารย์ของพวกเราก็ตามที แต่เราห่วงใยพระพุทธศาสนาและพระเถระเหล่านั้น และก็เฝ้าดูว่า สิ่งที่ตามมามันคืออะไรและจะคลายลงได้อย่างไร

Δเคยไปเยี่ยมพระผู้ใหญ่ที่อยู่ในเรือนจำหรือไม่

            ยังไม่เคยไปเยี่ยมเลย

Δปัจจุบันบทบาทของสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนาหรือ สนพ.ทำอะไร

        ผมเกริ่นมาตั้งแต่ต้นแล้วหลังจากออกจากการเมืองมาก็มาตั้ง สนพ. และเราก็ขับเคลื่อนเรื่องพระพุทธศาสนา ต่อมาบริบทมันเปลี่ยน บ้านเมืองเขาต้องการความสงบ เราจะไม่เติมเชื้อความวุ่นวายให้อย่างแน่นอน และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกมาให้สัมภาษณ์ ในฐานะที่เป็นคนวัดด้วยกัน  มาเปิดใจกัน คือ เราไม่ไปเติมเชื้อที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือปั่นป่วนต่อรัฐบาลหรือ คณะสงฆ์  มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่เฝ้าดูว่าพระพุทธศาสนาจะอยู่แบบนี้อีกนานเท่าไร คือผมและคณะทั้งหมดเราหยุดนิ่ง ปัจจุบันจะเห็นว่าเราไม่เคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อหรือออกไปเคลื่อนไหวอะไรเลย เพราะเราเข้าใจสิ่งที่รัฐบาลทำ และเราก็เข้าใจว่า อีกไม่นานประเทศไทยจะมีงานสำคัญของบ้านเมือง ตรงนั้นมันสำคัญที่พวกเราในฐานะคนไทยจะต้องอยู่ในความสงบ

Δ ตอนที่พระพุทธอิสระออกมาเดินถนน บุกไปวัดปากน้ำบ้าง ไปยื่นหนังสือที่โน้นที่นี้บ้าง มีคนเชียร์ให้ สนพ.ออกมา ทำไมตอนนั่นเราเงียบกันหมด

            วิกฤติทำให้เกิดองค์กร องค์กรทำให้เกิดบทบาท จำได้ไหม ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาตอนนั้นเราเรียกร้องอะไร ยุคคุณทักษิณ เราไปเรียกร้องให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เรียกร้องกระทรวงพุทธศาสนา หน้ารัฐสภา ตอนนั้นชาวพุทธ พระสงฆ์มาชุมนุมกันมากมาย แม้แต่คนของกลุ่มสันติอโศกก็มา คัดค้านเรื่องการปฎิรูปที่ดินวัดร้าง เราก็ค้าน หลังจากจบบทบาทตรงนั้น ตอนหลังศูนย์พิทักษ์ก็ลดบทบาทลง แผ่วลง  ไม่ได้รุกต่อ บทบาทก็เปลี่ยนไป

            องค์กรสนพ.ก็เหมือนกัน เรารวมอดีตนักบวชที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน มาช่วยกันทำงาน และตอนเกิดขึ้นเพราะมีเหตุการณ์ทำให้เราต้องคิดเชิงรุก ตอนหลังภารกิจจบ บทบาทเราก็เหลือแค่เฝ้าระวัง ยิ่งรัฐบาลเขาต้องการความสงบ คณะสงฆ์ต้องการสันติสุข พวกเราก็ต้องยึดแนวนี้  และตอนหลังเมื่อมีเกตุการณ์พุทธอิสระ ก็มีหลายองค์กรออกมาเคลื่อนไหว สนพ.เราจึงมองว่าเราไม่จำเป็นต้องทุกเรื่อง ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ชาวพุทธองค์กรอื่น ๆบ้าง

Δ คนวิจารณ์ว่า สนพ.หรือ ดร.เสถียร วิพรมหา และคณะ ทำงานด้านศาสนาเพราะรับเงิน รับจ๊อบ รับจัดอีเว้นท์การเมือง เงินหมด งานหยุด ประมาณนั้น

            ไม่ใช่ เราไม่เคยรับเงินจากใครมา เราไม่ได้รับเงินจากรัฐ องค์กรเอกชนหรือจากพระสงฆ์มาทำงาน แต่พวกเราทำงานด้วยใจเพื่อตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา ตอบแทนคุณสถาบันสงฆ์และผ้าเหลือง แต่เคยคิดจะระดมทุน สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เพราะกลัวทางการจับตา พิมพ์กำหนดการอะไรมาเรียบร้อยแล้วด้วย สุดท้ายก็ต้องยกเลิก เราทำแบบนี้มา 2 ครั้ง ต้องยกเลิกทั้ง 2 ครั้ง คนที่เบรคก็คือพระผู้ใหญ่และพวกเราเองนี้แหละ

Δก่อนกำหนดการจะออกมาไม่ได้ปรึกษากันเลยหรือไร

            ตอนนั้นเราทำกันในกลุ่มเล็ก ๆไม่ได้ปรึกษหารือกับใคร แต่เมื่อพระผู้ใหญ่ บุคคลที่เคารพนับถือเห็นกำหนดการเราระดมทุน  ก็ส่งสัญญาณเตือน เรา ก็หยุด ไม่ทำ

Δเคยมีพระผู้ใหญ่หรือวัดให้เงินสนุบสนุน สนพ.บ้างไหม

ไม่เคยเลย ไม่มี มีก็เพียงช่วยผ้าไตร สังฆทาน เวลาเราจัดงานบุญ เริ่มต้นตอนก่อตั้งสนพ. พวกเราก็รวบรวมกันก่อตั้งเอง ตอนนี้ยิ่งไม่มีเลย เพราะเราไม่จำเป็นต้องใช้ทุนทำอะไร กิจกรรมเลยหยุดนิ่ง อย่างที่บอกไว้ว่าบ้านเมืองเขาต้องการความสงบเรียบร้อย เราก็น้อมรับ และเราก็ไม่จำเป็นต้องระดมทุน เพราะไม่ได้มีกิจกรรมหรือขับเคลื่อนอะไร

Δอนาคตจะมีภาพดร.เสถียร วิพรมหา นำมวลชนชาวพุทธไปหน้าทำเนียบ หน้ารัฐสภาอีกไหม

            นี่คือคำตอบว่า เงินไม่มี ทำงานไม่ได้ หรือรับจ๊อบมาแล้วทำงาน เพราะอย่างที่บอกว่า ตอนนี้สังคมต้องการความสงบ หากจะออกไปยื่นหนังสือไม่ได้ยากอะไร มวลชนเราก็มี แต่เราไม่ทำ ช่วงนี้มันไม่ใช่ อย่างกรณีวัดแห่งหนึ่งที่มีเรื่องตีระฆังเสียงดัง จนคนอาศัยในคอนโดร้องเรียน ผมก็ไป และทุกครั้งที่ไปก็ไม่จำเป็นต้องไปของเงินใคร เราไปเพื่อไปดูว่าเราจะไปช่วยอะไรวัดได้บ้างในฐานะคนวัด ลูกศิษย์พระ ขับรถไปเอง ไม่ได้ใช้ทุนอะไรจากใครเลย  ผมจึงบอกว่ากิจกรรมสนพ.ที่หยุดยิ่ง ผมหยุดนิ่ง เราอยากนิ่งเองไม่ได้มีใครมาทำอะไร แต่ผมคิดว่า สนพ.ก็คงมีฝ่ายมั่นคงดูเราอยู่ ว่าเราจะทำอะไรบ้าง

Δ ใกล้เลือกตั้ง อาจารย์มีอะไรอยากจะฝากถึงชาวพุทธบ้าง ประเภทเจ็บแล้วให้จำ  เวลานักการเมืองให้เลือกอย่างไร

            ผมว่าตอนนี้ตกผลึกนะ โดยเฉพาะคนที่จบมากมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง ถือว่าเป็นชนชั้นกลาง คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มาจากชนบทต่างจังหวัดเชื่อมโยงกับถิ่นกำเนิดตัวเองที่มีญาติพี่น้อง บางคนทำงานเป็นข้าราชการระดับสูง เป็นนักวิชาการเขาก็จำนำความรู้สึกทางการเมืองไปปรึกษาพูดคุย ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็รับรู้ข่าวสาร ข้อมุลพอสมควรว่า ใครเป็นอย่างไร ผมจึงเชื่อว่า ชาวพุทธ มีบทเรียนคงรู้ว่า เมื่อลงคะแนนเสียงให้นักการเมืองหรือพรรคการเมืองนั้น ๆแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวัด ต่อคณะสงฆ์และภาพรวมของพระพุทธศาสนา

            ชาวพุทธอย่างไรก็แยกจากการเมืองไม่ได้ จึงขอฝากชาวพุทธว่า เรามีบทเรียนมาแล้ว ว่าพรรคการเมืองไหน เป็นอย่างไร ก่อนใช้สิทธิเลือกใคร จะต้องดูดี ๆว่า นักการเมืองหรือพรรคทีตนเองเลือกจะไปสร้างนโยบายหรือออกฎอะไรที่ส่งผลกระทบต่อวัด ต่อคณะสงฆ์ หรือต่อพระพุทธศาสนาหรือไม่..

            และสุดท้ายอยากฝากถึงชาวพุทธทุกคนว่า ตอนนี้ประเทศไทยเรากำลังต้องการความรู้รักสามัคคี ต้องการความสงบ เพื่อไปสู่การเลือกตั้ง อย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร และอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ ประเทศไทยเราก็จะมีงานสำคัญที่พวกเราตั้งหน้ารอคอย ก็โปรดรักษาความสงบเอาไว้ รักษาความสามัคคีกันเอาไว้..

////////////////////////////////

Leave a Reply