ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย?

กลายเป็นอีกหนึ่งกระแสข่าว เมื่ออินเดียขอคณะสงฆ์ไทยช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในรัฐมหาราษฎร์ ที่มีผู้นับพระพุทธศาสนาถึงร้อย ๗๕ ตามรายงานข่าว กงสุลใหญ่เมืองมุมไบ แจ้งถึงว่าทางอินเดียต้องการให้คณะสงฆ์ไทยช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ทั้งเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูต พระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมระหว่างไทยและอินเดีย ที่สำคัญทางอินเดียต้องการให้คณะสงฆ์ไทยช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในรัฐแห่งนี้ด้วย โดยล่าสุด มส.ได้มีมติเห็นชอบ

จากข่าวสารที่ถูกเผยแผ่นี้ทำให้เห็นความเคลื่อนไหวทางพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ โดยเฉพาะอินเดียที่ถือเป็นแดนกำเนิดของพระพุทธศาสนากำลังจะฟื้นคืนมาอีกครั้ง

            ถ้ามองจากมุมมองชาวพุทธถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องน่าประกาศให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของพระพุทธศาสนาที่มีมาโดยตลอดตั้งแต่ที่ประเทศอินเดียมีการฟื้นฟูและเชื่อมสัมพันธ์ทางด้านศาสนามาตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๙ โดยในสมัยนั้นรัฐบาลอินเดียจัดงานพุทธชยันตีฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษโดยได้มีการบูรณะสังเวชนียสถานทั้ง ๔ และพุทธสถานทุกแห่งพร้อมทั้งมีการสร้างที่พักสำหรับผู้จาริกบุญไว้ในที่นั้นๆ และในเวลานั้นได้เชิญให้ประเทศพุทธศาสนาทั้งหลายมาสร้างวัดของตนในที่จัดสรรให้ใกล้พุทธคยา ซึ่งรัฐบาลไทยได้สร้างวัดขึ้นด้วยคือวัดไทยพุทธคยา (Wat Thai Buddhagaya) และมีส่งพระสงฆ์ไทยไปประจำตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นต้นมา โดยนับเป็นผลที่สืบต่อกันมาระหว่างพระพุทธศาสนาในอินเดียกับไทยที่สืบสายสัมพันธ์กันมาจนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นการเชื่อมโยงความเชื่อระหว่างกันและผลที่งอกงามจากความเชื่อเดียวกันนั้นได้เผยแผ่ไปยังภูมิภาคต่างๆ ในประเทศอินเดีย

            หากมองจากมุมมองชาวไทย ทำให้เห็นว่าประเทศไทยได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในแง่ของพระพุทธศาสนาแม้พระพุทธศาสนานั้นจะมีอยู่ในหลากหลายประเทศ แต่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นนับว่าชาวต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก เพราะเมื่อ ปีพ.ศ.๒๕๒๒ มูลนิธิชาวพุทธอังกฤษที่ลอนดอนประเทศอังกฤษได้นิมนต์พระโพธิญาณเถระที่เรียกกันทั่วไปว่าอาจารย์ชา แห่งวัดหนองป่าพงอุบลราชธานีให้เดินทางไปยังประเทศอังกฤษ พ.ศ.๒๕๒๐ ต่อมาพระสุเมโธ (ขณะนั้นปัจจุบันเป็นพระราชสุเมธาจารย์) เป็นศิษย์ติดตามไปด้วยและมอบหมายให้ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในกรุงลอนดอนได้เป็นผู้นำในการตั้งวัดป่าจิตตวิเวก (Wat PahCittavivekaChithurst Forest Monastery) ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ได้ตั้งวัดขึ้นใหม่อีกแห่งใกล้ลอนดอนชื่อว่าวัดอมราวตี (Amaravati Buddhist Centre) และมีการเปิดสาขาเพิ่มตามลำดับ ท่านสุเมโธถือเป็นลูกศิษย์พระสายต่างประเทศรุ่นแรกของหลวงพ่อชา เป็นการนำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา โดยเกิดจากความศรัทธาของเจ้าของประเทศนั้นเอง

ความมั่นใจในพระพุทธศาสนาจึงทำให้เห็นเป็นผลสะท้อนผ่านมุมมองของชาวต่างประเทศที่เข้ามาศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนาและเผยแผ่ออกไป เช่นที่มีพระชาวต่างชาติได้สรุปคำสอนในพระพุทธศาสนาไว้ในแง่ที่ว่า “ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ในทรรศนะพระพุทธศาสนาการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนาผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้นจนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสารการฆ่าในนามศาสนายิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา…การฝึกสมาธิสำคัญมากในพระพุทธศาสนาแม้ว่าศาสนาอื่นๆก็มีสอนให้คนมีสมาธิแต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนวิปัสสนาซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รู้แจ้งว่าทุกสรรพสิ่งเมื่อมีการเกิดย่อมมีการดับ…” และยังมีอีกหลายข้อ ที่จริงถ้าเราชาวพุทธไทยพูดกันเองก็อาจจะดูน่าเชื่อถือประมาณหนึ่ง แต่พอมีพระชาวต่างชาติมาพูดไม่ใช่ว่าพูดได้ดีกว่าเรา หรือเก่งกว่าเราหรอก แค่ให้คนที่เขาอยู่ภายนอกมามองบ้างจะรู้ว่าพระพุทธศาสนานั้นเขายกย่องมากขนาดไหน และยิ่งประเทศไทยนั้นก็ล้วนได้รับการยอมรับและให้เกียรติจากต่างชาติเป็นอย่างมาก

แต่ถ้าจะว่าไป…ทำไมตอนนี้เราไม่รู้สึกว่าคนไทยเรายอมรับและให้เกียรติแบบนั้นบ้าง …

 

 

 

คอลัมน์ : ตื่นข่าว

ผู้เขียน : กิตติเมธี

Leave a Reply