“..จากการที่ตนได้สอบถามสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้แจ้งว่า เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้วก็เท่ากับเป็นการสึก และแม้ได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดี สมณะเพศก็ได้ขาดไปแล้ว แต่สมณะศักดิ์หรือยศนั้นเป็นพระราชอำนาจ ดังนั้นเรื่องนี้จึงหมดจากสำนักพุทธฯ ไปแล้ว ถือว่าได้ขาดจากความเป็นพระแล้ว..”

นี้คือคำกล่าวของ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเงินทอนวัดที่พระชั้นผู้ใหญ่ได้รับการประกันตัวออกมา โดยระบุจะมาต่อสู้คดีโดยที่ยังไม่มีการเปล่งวาจาสึกจากความเป็นพระ และยังคงห่มผ้าเหลืองอยู่ (อ้างอิง www.posttoday.com)
ผมอ่านคำสัมภาษณ์รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งจะต้องทำงานประสานงานกับคณะสงฆ์แล้ว ผมไม่มั่นคำกล่าวของท่านที่ว่า “เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้วก็เท่ากับสึก และสมณะเพศก็ได้ขาดไปแล้ว” รัฐมนตรีได้รับข้อมูลเกี่ยวกับพระวินัยที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบของสถาบันสงฆ์อันเป็นสถาบันที่เกื้อกูลชาติ พระมหากษัตริย์มาอันยาวนานมาจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจากท่านใด ทำไมคนให้ข้อมูลจึงไม่รู้ว่า “พระภิกษุที่ขาดจากความเป็นพระ” ที่สังคมพระสงฆ์เปรียบเทียบเหมือนกับ “ตาลยอดด้วน” คือไม่สามรถงกเงยเจริญได้หรือกลับมาบวชใหม่ได้ที่เรียกว่า “อาบัติปาราชิก” มี 4 ประการนั้นคืออะไรมีองค์ประกอบอะไรบ้าง รู้หรือไม่ว่า การติดคุก หากไม่ได้เปล่งวาจาสึก ไม่ได้สละสมณเพศ พระภิกษุไม่ได้ “ขาดจากความเป็นพระ”หรือสมณะเพศขาด ผมยกกรณี อดีตพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ฯ เป็นกรณีศึกษา ท่านติดคุกเป็นเวลา 5 ปีกว่า ท่านไม่ได้เปล่งมาจากสึก แม้ถูกกระชากจีวรออกจากกายท่านก็ไม่ได้สละสมณเพศ ตอนหลังออกจากคุกท่านก็กลับมาครองจีวรใหม่ได้ตามปกติ พรรษาก็ไม่ขาด ซ้ำได้คืนสมณศักดิ์เหมือนเดิม รัฐมนตรีลองไปหาหนังสืออ่านดูจะได้ “เข้าใจทั้งเรื่องวินัยสงฆ์และการเมืองในสถาบันสงฆ์” บางคนอาจแย้งว่าท่านมีคดีเงินทอน เรื่องนี้ความจริงตอนนี้คดีก็ยังไม่สิ้นสุด ยังไม่รู้ว่าท่านผิดจริงตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติฟ้องหรือไม่



Leave a Reply