“มูลนิธิทนายกองทัพธรรม” ร่ายยาวขับไล่พระออกจากวัดโดยมิชอบระวังเจอมาตรา 157 พร้อมเตือนฆราวาสที่จับจ้วงเจ้าอาวาสก่อนหน้านี้!!

วันที่ 10 ตุลาคม 2568  มูลนิธิทนายกองทัพธรรม โดย ทนายอนันตชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ได่โพสต์ข้อความว่า    เป็นข่าวเกรียวกราวกรณีวัดใหญ่แห่งหนึ่งมีมติที่ชุมนุมสงฆ์ขับพระภิกษุรูปหนึ่งที่วัดแห่งหนึ่งออกจากวัด โดยเป็นการขับไล่กลายๆ เพราะระบุว่า “เพียงภาคทัณฑ์แต่ให้ย้ายออกจากคณะเดิมไปอยู่คณะอื่น แต่ไม่มีคณะใดรับให้เข้าพำนักจึงเป็นเหตุให้ย้ายออกจากวัดเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ใน ๓๐ วัน” และปรากฎข่าวว่าพระรูปนั้นขนย้ายสมณบริขารและออกไปจากวัดแล้ว ข่าวระบุว่า “..ท่านขอขมาลาโทษและขอให้อดโทษในความพลั้งเผลอและผิดพลาด แต่พระชั้นผู้ใหญ่ในวัดไม่ยินยอมอ้างว่า ปกครองไม่ได้ ไม่ลดราวาศอกให้..” เท็จจริงประการใดเห็นจากภาพข่าวในโซเชียล

      มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ห่วงใยสถานการณ์พุทธศาสนาระคนปนหดหู่ใจว่า ทำไมพระชั้นผู้ใหญ่ในวัดดังถึงละเลย “สาราณียธรรม” คือ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ๖ ประการ ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ นำไปสู่ความสงเคราะห์ ความสามัคคี และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีเมตตากายกรรม, เมตตาวจีกรรม, เมตตามโนกรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักธรรมนี้ช่วยให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และพระรูปที่ถูกขับให้พ้นวัดโดยทางอ้อมนั้น ก็เพียงพลั้งเผลอผิดพลาดเสียเสขิยจริยาไปมีวิวาทะกับคฤหัสถ์ มิได้ต้องครุกาบัติแต่อย่างใด ทั้งยังเป็นพระวิปัสสนาจารย์มืชื่อที่สาธุชนก็ให้ความเคารพ จึงเป็นพระปฏิบัติดีที่มิใช่อลัชชีแต่ประการใด ซึ่งท่านก็น้อมรับและขออภัยแล้ว กรณีที่ปรากฎในหนังสือแจ้งมติในที่ชุมนุมสงฆ์นั้น มูลนิธิทนายกองทัพธรรม จึงขอเตือนให้ “พระชั้นผู้ใหญ่ในวัดดังที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำหนังสือแจ้งมติและคำสั่งต้องระมัดระวังและพึงสังวรในเรื่องพระธรรมวินัยและกฎหมายด้วย”

      เพราะการจะให้พระภิกษุสามเณรรูปใดให้ออกไปเสียจากวัดที่ท่านสังกัดโดยชอบนั้น มีกฎหมายกำชับไว้ชัดเจนว่า “เป็นอำนาจของเจ้าอาวาสเท่านั้น” พระภิกษุสามเณรที่อาศัยพำนักอยู่ในวัดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของ “เจ้าอาวาส” ซึ่งมีอำนาจปกครองตามความในมาตรา ๓๗ (๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัดนั้นปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม และ (๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรมและสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ซึ่งเจ้าอาวาสต้องดำเนินการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ส่วนพระภิกษุสามเณรในวัดจะต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช และคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตนเช่นเดียวกัน

      หากพบว่าพระภิกษุสามเณรรูปใด “มีพฤติการณ์ที่ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณหรือประพฤติตนที่อาจผิดกฎหมายบ้านเมือง” เจ้าอาวาสสามารถใช้อำนาจตามมาตรา ๓๘ (๒) “สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาสออกไปเสียจากวัด” และ  (๓) “สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยในวัด ทำงานภายในวัด หรือให้ทำทัณฑ์บนหรือให้ขอขมาโทษ  ในเมื่อบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ในวัดนั้นประพฤติผิดคำสั่งเจ้าอาวาสซึ่งได้สั่งโดยชอบด้วยพระธรรมวินัยกฎมหาเถรสมาคม  ข้อบังคับ  ระเบียบหรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม”  ดังนี้ แต่การจะสั่งให้พระภิกษุสามเณรรูปใดออกไปเสียจากวัดนั้น ไม่ใช่สั่งได้ตามอำเภอใจ เพราะพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ และกฎ, มติ,ระเบียบ,ข้อบังคับ,ประกาศมหาเถรสมาคม ได้กำหนดเงื่อนไขและวิธีการในการดำเนินการโดยเคร่งครัด “เพื่อป้องกันมิให้เจ้าอาวาสใช้อำนาจปกครองโดยพลการและลุแก่อำนาจโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกลั่นแกล้งพระภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่งให้ได้รับโทษหรือออกไปจาดวัดที่ตนสังกัด โดยมิชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมาย”

      ดังนั้น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ หมวด ๔ นิคหกรรมและการสละสมณเพศ มาตรา ๒๔ จึงบัญญัติว่า “พระภิกษุจะต้องรับนิคหกรรม ก็ต่อเมื่อกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และนิคหกรรมที่จะลงแก่พระภิกษุ ก็ต้องเป็นนิคหกรรมตามพระธรรมวินัย” และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ก็กำหนดวิธีการสอบสวนไว้แต่การจะลงนิคหกรรมแก่ผู้ใดต้องได้ความแน่ชัดว่ามีการละเมิดครุกาบัติ คืออาบัติหนัก อาทิ ปฐมปาราชิก, ทุติยปาราชิก ตติยปาราชิก หรือจตุตถปาราชิก หรือไม่ หรือมีผู้เสียหาย หรือมีพระภิกษุที่เป็นปกตตัต และ/หรือมีผู้กล่าวโจทก์พระรูปใดๆ ว่าต้องครุกาบัติที่เป็นอเตกิจฉา เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะฝ่ายปกครองเจ้าสังกัดจึงจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนมูลคดีหรืออธิกรณ์ที่ปรากฎแก่สงฆ์นั้น แต่หากไม่มีมูลคดีที่ฟังได้ว่า “พระรูปใดต้องครุกาบัติเช่นว่านั้น” ก็ไม่สามารถสอบสวนอธิกรณ์เพื่อลงนิคหกรรมใด้

      ดังนั้น หากเจ้าอาวาสพบว่าพระรูปใดมีพฤติการณ์ที่อาจสร้างความเสื่อมเสียแก่หมู่คณะหรือวัดที่สังกัด “เจ้าอาวาสต้องทำหนังสือตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน และกำหนดระยะเวลาให้พอสมควรในการปรับเปลี่ยนพฤติการณ์” โดย “อนุโลม” ให้ใช้วิธีการตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ.๒๕๓๘) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ข้อ ๓ ในกรณีพระภิกษุรูปใด (๑)  ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกันหรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ ให้เจ้าอาวาสวัดซึ่งพระภิกษุนั้นสังกัดหรือพำนักอาศัยมีอำนาจหน้าที่แนะนำ ชี้แจง ตักเตือนให้พระภิกษุรูปนั้นประพฤติตามพระธรรมวินัยเป็นลายลักอักษร โดยกำหนดเวลาให้ปฏิบัติ หากพระภิกษุรูปนั้นไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ชี้แจง ตักเตือนภายในเวลาที่กำหนด ให้เจ้าอาวาสวัดซึ่งพระภิกษุรูปนั้นสังกัดหรือพำนักอาศัย รายงานโดยลำดับ จนถึงเจ้าคณะอำเภอเจ้าสังกัด เพื่อวินิจฉัยให้สละสมณเพศต่อไป สาระสำคัญในเรื่องนี้ คือการตักเตือนที่ต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ ๑) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกันหรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ ๒) ให้เจ้าอาวาสวัดซึ่งพระภิกษุนั้นสังกัดหรือพำนักอาศัยมีอำนาจหน้าที่แนะนำ ชี้แจง ตักเตือนให้พระภิกษุรูปนั้นประพฤติตามพระธรรมวินัยเป็นลายลักอักษร ๓) โดยกำหนดเวลาให้ปฏิบัติ

         กรณี พระมหา ก. วัด ข. ที่กำลังเป็นข่าวโดยปรากฏ “หนังสือแจ้งมติสงฆ์วัด ข. ฉบับลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๘”  ระบุสาระสำคัญว่า “..ที่ชุมนุมสงฆ์วัด ข. มีมติลงภาคทัณฑ์แก่ท่าน แต่เนื่องจากไม่มีเจ้าคณะรูปใดในวัด ข.ทั้ง ๑๖ คณะ รับท่านเข้าสังกัด จึงเป็นเหตุให้ต้อง  ย้ายออกจากวัด ข. เพื่อไปหาที่อยู่ใหม่..อาศัยมติในที่ชุมนุมสงฆ์วัด ข. จึงขอให้ย้ายออกจากุฎิคณะ ๙ ภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป..”

      มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเป็นการลงมติสงฆ์ที่ขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฯ เนื่องจากการออกมติภาคทัณฑ์โดยให้พระมหา ก.ย้ายออกจากคณะ ๙ แล้วให้ไปเข้าคณะอื่นๆ ในจำนวน ๑๖ คณะ ซึ่งผู้ออกมติหรือคำสั่ง “ย่อมเล็งเห็นผล” ได้โดยไม่ยากลำบากว่า “เป็นไปได้ยาก” หากมีการเปิดช่องพร้อมใจกัน “ไม่ยอมรับเข้าคณะใดๆ” แล้วอ้างเหตุดังกล่าว “ให้ต้องย้ายออกจากวัด ข.เพื่อไปหาที่อยู่ใหม่” และ “ขอให้ย้ายออกจากุฎิคณะ ๙ ภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” ดังนี้ จึงเป็นการ “ออกมติที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและมีสภาพบีบบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล” และอาจหมิ่นเหม่ต่อการแสดงให้เห็นถึง “เจตนาพิเศษ” เพื่อ “กลั่นแกล้ง” โดยมีความประสงค์หรือธงคำตอบคือ ให้พระมหา ก.“ออกไปเสียจากวัด”  หรือไม่??

      ขอถามว่า “มติในที่ชุมนุมสงฆ์วัด ข.” เพื่อให้ภาคทัณฑ์ และลงปัพพาชนียกรรม (ทางอ้อม) ต่อพระมหา ก.โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายใด??  เพราะอำนาจตักเตือนไม่ใช่อำนาจของที่ชุมนุมสงฆ์ แต่เป็น “อำนาจที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัวของเจ้าอาวาสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” และตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๓๘ (๓) “สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยในวัด ทำงานภายในวัด หรือให้ทำทัณฑ์บนหรือให้ขอขมาโทษ  ซึ่งเจ้าอาวาสวัด ข.นั้น หมายถึง “พระธรรมวชิรมงคล (กิตฺติวํสมหาเถร) เจ้าอาวาสวัด ข.” ใช่หรือไม่? ส่วนหนังสือฉบับลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๘ ลงนามโดย “ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด ข. ในนามเจ้าคณะ ๙” นั้น อาศัยอำนาจอะไร เพราะ “ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าคณะ ๙ มิใช่เจ้าอาวาสวัด ข.” ทั้งไม่ปรากฏว่าเจ้าคณะ ๙  “เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัด” เว้นแต่ท่านจะได้รับแต่งตั้งในกรณีพระเดชพระคุณฯ เจ้าอาวาสมอบหมาย แม้เป็นผู้รักษาการหรือปฏิบัติหน้าที่แทน หากเกิน ๓๐ วัน ก็ต้องแจ้งคำสั่งและแต่งตั้งโดยเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีเอกสารหรือการดำเนินการเช่นนั้นหรือไม่??

     หากพบว่าพระมหา ก.ละเมิดอธิกรณ์ใดๆ เช่น วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ หรืออาปัตตาธิกรณ์ก็ให้สงฆ์ระงับด้วยอธิกรณสมถะทั้ง ๗ ตามพุทธบัญญัติ หรือหากมีผู้กล่าวโจทก์ว่าท่านละเมิดครุกาบัติคณะสงฆ์ก็ต้องสอบสวนลงนิคหกรรมตามความในมาตรา ๒๔ ประกอบกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม หากเป็นเพียงประพฤติไม่สำรวมหรือมีพฤติการณ์ตามที่หนังสือมติในที่ชุมนุมสงฆ์ที่ระบุว่า “..ได้มีวิวาทะกับบุคคลภายนอกจริง ทั้งยังได้กล่าวพาดพิงถึงเจ้าคณะ เป็นความจริงทุกประการ..” นั้น เจ้าอาวาสต้องตักเตือนเป็นหนังสือเพราะเป็นอำนาจเฉพาะตัวของเจ้าอาวาสตามมาตรา ๓๘ (๓) “หรือให้ทำทัณฑ์บนหรือให้ขอขมาโทษ  ในเมื่อบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ในวัดนั้นประพฤติผิดคำสั่งเจ้าอาวาสซึ่งได้สั่งโดยชอบด้วยพระธรรมวินัยกฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม” และ “ต้องมีหนังสือตักเตือนจากเจ้าอาวาสวัดเท่านั้น” โดยต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรตามแนวทางปฏิบัติที่ระบุไว้ในกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ.๒๕๓๘) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ข้อ ๓ ดังนี้ แต่ปรากฏว่า ไม่มีการดำเนินการเช่นว่านั้น ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการมอบหมายเป็นหนังสือจากเจ้าอาวาสให้ดำเนินการเช่นนั้น เพียงกล่าวอ้างว่าตักเตือนด้วยวาจามาแล้ว หรือ ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว แต่อย่าหลงประเด็นว่าหนังสือฉบับแรกที่ตักเตือนนั้นระบุเรื่อง “ได้ก่อวิวาทะ กล่าวพาดพิงถึงฆราวาส ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ไม่เหมาะสม เหยียบย่ำความเป็นมนุษย์ของฆราวาส..” เป็นต้น และทราบจากข่าวว่าพระมหา ก.“ระงับเหตุโดยประนีประนอมยอมความขอโทษขออภัยคฤหัสถ์แล้ว” ส่วนกรณีพาดพิงเจ้าคณะนั้นไม่มีในหนังสือฉบับแรกแน่นอน ซึ่งหากมีการกล่าวพาดพิงท่านขึ้นมาต้องทำหนังสือตักเตือนอีกครั้งให้ชัดเจน และกำหนดระยะเวลาให้ปฏิบัติเสียก่อน ซึ่งการทำหนังสือเตือนก็มิใช่อำนาจของผู้ช่วยเจ้าอาวาสแต่เป็นอำนาจของเจ้าอาวาสวัด ข. ดังนั้น การดำเนินการออกมติในที่ชุมนุมสงฆ์ก็ดี การลงนามในหนังสือของผู้ช่วยเจ้าอาวาสในการภาคทัณฑ์ และขับให้พ้นจากคณะ (ซึ่งก็คือให้ออกจากวัดทางอ้อม) น่าจะเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่ที่มิชอบหรือไม่!! เพราะผู้ช่วยเจ้าอาวาสกระทำโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายแต่ได้ลงนามในประกาศคำสั่งและหนังสือแจ้งมติ ซึ่งไม่ปรากฎว่าเจ้าอาวาสวัด ข.ใช้อำนาจดำงกล่าวแต่อย่างใด จึงเป็นการกระทำกันเองโดยไม่มีอำนาจ ซึ่งหากมีการกลาวโทษอาจเข้าข่ายละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ และ/หรือเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยเจตนาพิเศษเพื่อกลั่นแกล้งแก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ประกอบพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๔๕ ซึ่งอาจมีผลทำให้พระภิกษุผู้ได้รับความเสียหาย สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าคณะฝ่ายปกครองฐานละเมิดจริยพระสังฆาธิการ หรือร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญา หรือฟ้องคดีต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ก็สามารถใช้สิทธิได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

      ส่วนกรณีฆราวาสท่านหนึ่งที่กล่าวจาบจ้วงเจ้าอาวาสวัด ข. ซึ่งเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ที่รัตตัญญูภาพด้วยอายุพรรษากว่า ๙๘ พรรษา ด้วยถ่อยคำที่รุนแรงนั้น ขอให้ท่านระมัดระวังคำพูดอย่าลุแก่โทสะกล่าวพาดพิงถึงพระมหาเถระหรือพระภิกษุรูปใดในลักษณะเช่นนั่นอีกเลย มูลนิธิทนายกองทัพธรรมขอตักเตือนในฐานะกัลยาณมิตร

Leave a Reply