เสนออริยสัจโมเดลเป็นสันติวิธี ละลายภูเขาน้ำแข็ง ทหารกราดยิงกลางเมืองโคราช : สำราญ สมพงษ์ นิสิตป.เอก สันติศึกษา มจร รายงาน
จากเหตุการณ์ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี ทหารของหน่วยกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 จังหวัดนครราชสีมา คลั่งก่อเหตุกราดยิงกลางใจเมืองโคราช เมื่อช่วงเย็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ตั้งแต่เวลา 15.30 น. จนถึงเวลา 08.55 น. วันที่ 9 เจ้าหน้าที่ได้วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ.จักรพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงตัวเลขมีผู้เสียชีวิต 27 ราย รวมทั้งผู้ก่อเหตุ และผู้บาดเจ็บอีก 57 ราย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองได้รับรายงานต่อเนื่องหลังเกิดเหตุ ขณะที่การปฏิบัติการเป็นไปตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประขาชนเป็นสำคัญ ส่งผลให้สถานการณ์ยืดเยื้อเพราะคนร้ายสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงคงไม่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตมากขนาดนี้ แต่จะทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก ซึ่งขอให้ทุกฝ่ายนำไปเป็นบทเรียนเพื่อหาแนงทางดูแลที่เหมาะสม
“บูรณาการการทำงานไปตามลำดับ สถานการณ์อย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ขอให้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดขึ้นอีก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พร้อมระบุจะมีการถอดบทเรียนเหตุการณ์ในครั้งนี้ต่อไป
คำถามที่สังคมต้องการคำตอบว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความรุนแรงระดับใด และสาเหตุมาจากอะไร
เบื้องต้นนี้ขอวิเคราะถอดบทเรียนเสนอแนวทางการแก้ปัญหาด้วยอริยสัจโมเดลเชิงบูรณาการเข้ากับแนวคิดและทฤษฎีสันติภาพตามแนวตะวันตก ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการคือ
1. ทุกข์ เป็นอริยสัจหรือความจริงอันประเสริฐข้อที่ 1 คือสภาวธรรมที่ทนได้ยาก พระพุทธองค์ได้กำหนดกิจไว้คือจะต้องกำหนดรู้ ซึ่งความขัดแยง ความรุนแรง สงคราม ตามแนวคิดของตะวันตก จัดอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น “ความขัดแย้ง” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “contrast” แปลว่า “ตัดกัน” ซึ่งมีพัฒนาการ 3 ระยะ คือ “ตั้งตัว” หรือกำลัง “ตื่นตัว” หรือเริ่มมีเสียงออกมา และ “แตกตัว” หรือกระจายตัวออกมา โดยมีพัฒนาการเป็น 3 แยกของความขัดแย้ง คือ “แปลกแยก” “แบ่งแยก” และ “แตกแยก” ทำให้เกิด 4 แย่งคือ “แย่งอาหารกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันสวาท แย่งอำนาจเป็นใหญ่”
“ความรุนแรง” นั้นมีทั้งโดยตรงและโดยอ้อม รศ.ดร.โคทม อารียา นักวิชาการด้านสันติวิธี ได้นำเสนอตามกรอบความคิดของ “โยฮันกัลตุง” (Johan Galtung) โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ทางตรงหรือกายภาพ เชิงโครงสร้าง และเชิงวัฒนธรรม ความรุนแรงทางกายภาพนั้นจะต้องมีผู้กระทำให้เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางวาจา ส่วนความรุนแรงเชิงโครงสร้างหรือเชิงระบบจะไม่ปรากฏผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ มีลักษณะเป็นการขัดขวางไม่ให้มีการตอบสนองต่อความจำเป็นขั้นพื้นฐาน การแบ่งชนชั้น ลัทธิเหยียดผิว ชาติพันธุ์ การทำลายตนเอง การทำลายชุมชน และการทำลายรัฐ-ชาติ โดยรัฐประหาร การกบฏ การก่อการร้าย สงคราม ขณะที่ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมก็จะไม่ปรากฏผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเช่นกัน โดยจะการถ่ายทอดออกมาเป็นความเกลียด ความกลัว อคติ ความเจ็บแค้น เป็นความรุนแรงทางศาสนา อุดมการณ์ ภาษา และศิลปะ
“สงคราม” จัดเป็นอาชญากรรมเพียงอย่างเดียวที่ยกเว้นการพิพากษาโทษ เป็นการฆ่าแบบเป็นระบบป่าเถื่อนของผู้มีกำลังทางอาวุธเพื่อแสดงอำนาจ โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีความเคียดเเค้นชิงชังต่อกัน บางสงครามอาศัยความเชื่อทางศาสนาเป็นข้ออ้างหรือเป็นเครื่องมือปลุกระดม และเป็นเครื่องมือของคนไม่มีเหตุผลไม่มีปัญญา สิ่งหนึ่งที่สงครามขาดไม่ได้เลย คือ “ผู้หญิง” ที่ต้องตกเป็นทาสทางกามารมณ์ ถูกข่มขืน สตรีต้องตกเป็นหม้าย ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้วเห็นจะมีประโยชน์อยู่อย่างเดียว คือ “ทำสงครามกับกิเลส” จัดการกับกิเลสภายในตนเอง เริ่มตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ภายในใจของตน เราควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ก่อให้เกิดสงคราม ด้วยการเริ่มจัดการกับสงครามภายในใจของเราเอง ดับสงครามภายใน เพื่อป้องกันสงครามภายนอก
2. สมุทัย สาเหตุทำให้เกิดทุกข์ ความขัดแย้ง ความรุนแรง และสงคราม อันได้แก่ อกุศลมูล 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ ขยายความเป็น ปปัญจธรรม คือ ตัณหา ทิฏฐิ มานะ หรือ “สังโยชน์” คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ สิ่งที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ สิ่งผูกมัด ร้อยรัดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ผูกติดอยู่กับความทุกข์ ทำให้ไม่สามารถสลัดหลุดออกมาได้ 10 ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา พระพุทธองค์กำหนดกิจไว้จะต้องละหรือแก้ไข
ขณะที่แนวคิดตะวันตกอย่างเช่น “จอห์น แมคคอนเนล” และ “คริสโตเฟอร์ มัว” ได้แยกสาเหตุของความขัดแย้ง ความรุนแรง และสงคราม ออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1) ด้านข้อมูล (Data Conflict) ได้แก่ ข้อมูลขัดกัน ขาดข้อมูล เข้าใจผิด หรือสื่อสารไม่ถูกต้อง สับสนเรื่องหน้าที่ มุมมองต่างกันในเรื่องของข้อมูล ทั้งฝ่ายสนับสนุนในการให้ข้อมูลไม่ชัดแจ้ง
2) ด้านผลประโยชน์ (Interest Conflict) ได้แก่ ขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรทางด้านธรรมชาติ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ปรารถนาและต้องการ
3) ด้านความสัมพันธ์ (Relationship Conflict) ได้แก่ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมที่ต่างกัน พฤติกรรมทางลบที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และวิธีการในการทำสิ่งต่าง ๆ แตกต่างกัน ยังไม่ปรากฏชัดเจน แต่เป็นผลต่อความขัดแย้งที่สะสมมาและเพิ่มความรุ่นแรงขึ้น เป็นผลให้ความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกัน ซึ่งยากต่อการเจรจาในการจัดการความขัดแย้งต่อไป
4) ด้านโครงสร้าง (Structural Conflict) ได้แก่ การแก่งแย่ง โดยเปลี่ยนแปลงระเบียบกฎเกณฑ์เดิมด้วย ขัดแย้งเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติ ขัดแย้งเนื่องจากขาดความ ยุติธรรม เป็นปัญหาหลักเลยก็ว่าได้
5) คุณค่าหรือค่านิยม (Value Conflict) ได้แก่ ศาสนา โลกทัศน์หรือความเชื่อต่างกัน การให้ความสำคัญที่ต่างกัน เกณฑ์ประเมินต่างกัน ภูมิหลังทางวัฒนธรรมต่างกัน ภูมิหลังส่วนบุคคลต่างกัน พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ต่างกัน
3. นิโรธ คือความดับทุกข์ (ทุกฺขนิโรธ) เป็นภาวะที่ยุติความขัดแย้ง เป็นบรมสุข โดยมีคำว่า “สันติ” (Peace) เป็นไวพจน์ ซึ่งพุทธพจน์รับรองในธรรมบทคือ “นตฺถิสนฺติ ปรํสุขํ” แปลความว่า “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี” นับเป็นเป้าหมายหรือจุดสุดยอดของ ดังนั้น “สันติ” คือ ไม่มีความขัดแย้ง เป็นความสุขสงบ เป็นสุขภายใน ส่วนคำว่า “สุขา สงฺฆสฺสสามคฺคี” ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะนำสุขมาให้ เป็นความสุขภายนอก เพราะต้องเกี่ยวเนื่องกับคนอื่น “สันติ” นั้นมีความหมายทั้งในเชิงลบ คือ สภาวะที่ไม่มีสงครามและความขัดแย้ง และเชิงบวก คือสภาวะที่มีความรัก สามัคคี และความยุติธรรม และมี 2 ลักษณะคือ “อัชฌัตติกสันติ” ความสงบภายใน(Inner Peace) และ “พาหิรสันติ” ความสงบภายนอก(Outer Peace) โดยขยายกว้างออกไปอีก 3 ระดับ คือ 1.”สันติภาพภายในตนเอง” (to live in harmony with oneself) อยู่อย่างกลมกลืนกับสันติภายในจิตใจของตนเอง เป็นระดับตนเอง 2.สันติภาพกับคนอื่น (with others) อยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ เป็นระดับผู้อื่น และ 3.สันติภาพกับธรรมชาติ (with the natural environment) อยู่ร่วมกันอย่างสันติกับธรรมชาติได้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “ยสฺสรุกขสฺสฉายาย นิสีเทยฺยสเยยฺย วา น ตสฺสสาขํภญฺเชยฺยมิตฺตทุฏฺโฐหิปาปโก” แปลความว่า “บุคคลนั่งหรือนอนในร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักก้านรานกิ่งและใบของต้นไม้นั้น เพราะว่าผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทราม” ทรงย้ำเตือนเสมอว่า “จงเป็นมิตรกับธรรมชาติ” อย่างไรก็ตามหากความสงบด้วยการกดเอาไว้ยังไม่ถือว่าเป็นสันติภาพ
“โยฮัน กัลตุง” ได้เสนอนำเสนอสันติภาพเชิงลบ หมายถึง “การปลอดพ้นจากความรุนแรงทางตรง” เช่น ความรุนแรงต่อบุคคล คนกำลังตีกัน เราไปห้ามอย่าตีกันเลย ส่วนสันติเชิงบวก หมายถึง “การปลอดพ้นจากความรุนแรงเชิงโครงสร้าง” เช่น ความยากจน การเหยียดผิว ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมทางสังคม ที่คนโกรธกันเพราะอะไร เพราะไม่ยุติธรรม เราจะทำอย่างไรให้เกิดความพอใจ จึงมีคำว่า “สงครามเกิดขึ้นที่จิตใจของมนุษย์ สันติภาพจึงต้องเริ่มจากจิตใจของมนุษย์เช่นกัน”
4. มรรค คือ หนทางแห่งการดับทุกข์ ในพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่า “สันติวิธี” แต่การจะพ้นทุกข์หรือเกิด “สันติภาพ” โดยดำเนินตามมรรคมีองค์ 8 เท่านั้น
ขณะที่แนวคิดด้านสันติวิธี พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส พระนักวิชาการด้านสันติวิธี ได้แบ่งออกเป็น 3 สำนักคือ 1. สันติวิธีในฐานะเป็นเครื่องมือจัดการความขัดแย้ง (Peaceful Means) โดยมีวิธีการเช่น การเจรจากันเอง (Negotiation) คือ การใช้วิธีการพูดคุยกันก่อนอาจจะเอาจุดยืนเป็นตัวตั้งหรือจะเอาประโยชน์เป็นตั้งตั้งโดยมีเป้าหมายคือชนะทั้งคู่ การไกล่เกลี่ย (Mediation) มีเป้าหมายคือชนะทั้งคู่ อนุญาโตตุลาการ (Arbitration) มีแพ้มีชนะ กระบวนการทางศาล (Court) และการหลีกเลี่ยง (Avoidance) 2. สันติวิธีในฐานะเป็นฐานของการเรียกร้องความต้องการโดยปราศจากความรุนแรง เช่น การเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรม (Civil Disobedience) การดื้อแพ่งหรืออริยขัดขืนคือการแสดงสัญลักษณ์ผ่านคำพูด(Demonstration) การอดข้าวอย่าง “มหาตมะ คานธี” การเดินขบวน (March) และม็อบ(Mob) คุมไม่อยู่เพื่อให้ผู้มีอำนาจได้ยิน เสียงของคน มาเพื่อให้คนได้ยิน 3) สันติวิธีในฐานะเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต (Pacifism) อย่างการกินเจ การใช้หลักใช้อหิงสาของ “มหาตมะ คานธี” หรือการสร้างสันติภายในให้เป็นวิถีชีวิตตามหลักวิปัสสนากรรมฐาน
สำหรับกระบวนการของสันติวิธีนั้น “โยฮันกัลตุง” ได้เสนอเป็นลักษณะ 3 เหลี่ยมคือ 1.การทำให้เกิดขึ้น 2.การสร้างสรรค์ และ 3.การรักษา พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ได้เสนอคือ 1.การป้องกัน (Prevention) 2.การเปลี่ยนผ่าน (Transformation) และ 3.การแก้ไข (Resolution) ขณะที่ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ได้เสนอคือ 1.การป้องกัน 2.การแก้ไข และ 3. การเยียวยา ซึ่งก็ตรงกับหลักปธาน 4 โดยพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาหลัก 3 แยกคือ 1.แยกอารมณ์ออกจากคน 2.แยกคนออกจากปัญหา และ 3. แยกปัญหาออกจากการแก้ไข(วิธีการ) เพราะพระพุทธศาสนาเป็นแบบวิภัชชวาท (Segmentation) ซึ่งพระพุทธเจ้าให้จัดการกับตัณหาไม่ได้ให้จัดการกับตัวปัญหา อย่างไรก็ตาม “โคทม อาริยา” ได้เสนอว่า “การจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง รุนแรงและสงครามได้นั้น จึงต้องแก้ที่ทัศนคติ สร้างสันติวัฒนธรรม คือการปลอดพ้นจากความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่สันติวัฒนธรรม
หลักอริยสัจโมเดลดังกล่าวนำมาวิเคราะห์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ดังนี้
1.ทุกข์ เบื้องต้นจ.ส.อ.จักรพันธ์มีความขัดแย้งมีปัญหากับผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับค่านายหน้าค้าที่ดินและมีการเบี้ยงนัดจนกระทั้งมีการก่อเหตุฆ่าผู้บังคับบัญชากลายสภาพเป็นความรุนแรงทางกายภาพ หลังจากนั้นมีการปล้นคลังอาวุธสงครามและเข้าไปกราดยิงประชาชนโดยไม่เลือกหน้าจึงกลายสภาพความรุนแรงเป็นสงครามเกิดขึ้นจนถึงจุดจบด้วยเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมรวมผู้เสียชีวิตครั้งนี้ 27 ราย รวมทั้งผู้ก่อเหตุและผู้บาดเจ็บอีก 57 ราย
2.สมุทัยหรือสาเหตุที่มีสาเหตุมาจากความโลภและความโกรธเป็นพื้นฐาน พร้อมกันนี้สามารถแยกสาเหตุตามแนวคิดของ “จอห์น แมคคอนเนล” และ “คริสโตเฟอร์ มัว” 5 ประเภทดังนี้
1. ด้านข้อมูล (Data Conflict) เนื่องจากยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคดิจิทัลสามารถสื่อสารกันด้วยมือถือเบื้องต้น จ.ส.อ.จักรพันธ์สามารถเผยแพร่ข้อมูลการก่อเหตุผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งถูกปิด อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนก็เป็นสาเหตุและเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ และการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเข้าข่าวละเมิด โดยเฉพาะการรายงานสถานการณ์คลิปการก่อเหตุและการปฏิบัติการณ์ของเจ้าหน้าที่ในห้าง
2. ด้านผลประโยชน์ (Interest Conflict) คือ การขัดผลประโยชน์กันระหว่าง จ.ส.อ.จักรพันธ์กับผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับค่านายหน้าค้าที่ดิน
3. ด้านความสัมพันธ์ (Relationship Conflict) จากข้อ 2 จึงให้ความสัมพันธ์ระหว่างจ.ส.อ.จักรพันธ์กับผู้บังคับบัญชาเกิดความขัดแย้งกันมาก
4. ด้านโครงสร้าง (Structural Conflict) ทั้งนี้สื่อต่างประเทศได้ตั้งข้อสังเกตว่า การรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธของกองทัพบกพร่อง ศูนย์การค้าหลายแห่งของไทย รวมทั้งเทอร์มินัล 21 ในกรุงเทพฯ จะมีอุปกรณ์ตรวจจับอาวุธที่เป็นโลหะ รวมทั้งอุปกรณ์กล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลดภัยทั้งที่อยู่ในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ เพื่อกลั่นกรองในขั้นต้นและดูแลรักษาความปลอดภัย การตรวจเช็คผู้เข้าสู่ตัวอาคารศูนย์การค้า พร้อมกันนี้คนไทยสามารถครอบครองอาวุธปืนโดยถูกต้องตามกฎหมาย และคนจำนวนมากก็เป็นเจ้าของอาวุธปืน เหตุการณ์ใช้อาวุธก่อความรุนแรงในไทยเคยมีเกิดขึ้นมาก่อน แต่การกราดยิงประชาชนในที่สาธารณะไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก แม้ว่าจะมีการก่อเหตุเป็นระยะๆในจังหวัดชายแดนภาคใต้
สื่อใหญ่ต่างชาติชี้ว่า ไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ครอบครองอาวุธปืนในอัตราสูงมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง แต่การก่อเหตุโดยนายทหารที่เล็งเป้าหมายไปที่ประชาชนพลเรือนทั่วไปนั้นไม่ค่อยมีปรากฏบ่อยนักอย่างไรก็ดี การใช้อาวุธปืนก่อเหตุรุนแรงเป็นปัญหาที่น่าวิตกกังวลมากขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากมีข่าวออกมามากขึ้นเรื่อยๆโดยเมื่อเร็วๆนี้ ก็มีการบุกเดี่ยวกราดยิงที่ร้านทองในห้างที่จังหวัดลพบุรี และปีที่ผ่านมา ก็มีการก่อเหตุยิงอุกอาจในศาลทำให้มีคนเสียชีวิตแม้กระทั่งในระหว่างการพิจารณาคดีความ
5. คุณค่าหรือค่านิยม (Value Conflict) คือการรายงานข่าวของสื่อโยงกับศาสนาเพราะวันก่อเหตุเป็นวันมาฆบูชา เพื่อสร้างความน่าสนใจของการรายงานข่าว
ส่วนมรรคและนิโรธนั้นก็คงจะต้องติดตามการทำหน้าที่ของบุคคลหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่า จะมีการถอดบทเรียนตามหลักวิจัยแล้วเสนอนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาหรือจะปล่อยให้กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งรอวันปะทุไม่รู้จบ ในชั้นต้นนี้ขอเสนออริยสัจโมเดลในการละลายภูเขาน้ำแข็งของเหตุการณ์ดังกล่าว
เพราะ “อริยสัจโมเดล” ที่บูรณาการกับหมวดธรรมคือปธาน 4 สอดประสานกับหลักสันติวิธีตะวันตก ที่มุ่งเน้นการเน้นการสร้างสันติภายในเริ่มจากการปริยัติหรือสันติศึกษาภายในด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั้งเกิดสัมมาทิฐิ ว่า “โลกทั้งผองคือพี่น้องกัน” ก็จะทำให้เป็นนักสันติวิธีแบบวิถีชีวิต(Pacifism) สามารถยุติปัญหาความขัดแย้ง รุนแรงและสงครามเกิดสันติภาพภายใยแบบไม่มีความขัดแย้งภายใน ก็จะทำให้เกิดพลังทั้ง 5 คือศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ในการแก้ปัญหาความขัดแยง รุนแรง และสงครามไร้ตัวตนหรือหลบในของชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลกให้เกิดสันติภาพ ด้วยโมเดลต่างๆ โดยเริ่มจากหลัก “4ป.” ในพื้นที่ “บวร” เพื่อให้เกิด “ภาวนา4” ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือต้องมีหลักการ 2 คือความรู้คู่คุณธรรม เมื่อจะนำความรู้ไปใช้ในการสร้างสันติภาพต้องอยู่บนพื้นฐานของเงื่อนไข 3 คือ ประมาณ เหตุผล และภูมิคุ้มกันความเสี่ยง แบบเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะทำให้นักพุทธสันติวิธีสามารถยุติปัญหาความขัดแย้ง รุนแรงและสงครามได้ระดังหนึ่งแต่การจะทำให้ “อริยสัจโมเดล” คงจะต้องมีการบูรณาการเข้ากับศาสตร์ใหม่ให้ทันกาล
เบื้องต้นพระศักดา สุนฺทโร พระนักบรรยายธรรม ได้เสนอแนะว่า 1. กรมคุ้มครองสิทธิ์ เยียวยาครอบครัวผู้เสียหาย ผู้บาดเจ็บและรีบรายงานต่อสังคม 2. กรมสุขภาพจิตเยียวยาจิตใจเหยื่อ ครอบครัวเหยื่อ แม่ผู้ต้องหาและญาติพี่น้อง และคนในสังคม 3. สื่อนำเสนอมิติป้องกัน เตือนภัยและความมีน้ำใจ การช่วยเหลือกันในกรณีเช่นนี้ และนำเสนอข่าวจรรโลงใจเพื่อให้กำลังใจคนในสังคม 4.พระภิกษุสงฆ์ ชี้ให้เห็นบาปบุญที่เกิดขึ้น และเสนอแนะวิธีควบคุมสติ 5.กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเผยแพร่ข้อมูลด้านที่เป็นการช่วยเหลือกันออกสู้สายตาชาวโลก อาทิ การช่วยกันบริจาคโลหิต การร่วมใจช่วยเหลือเหยื่อ การร่วมบริจาคเงินให้ครอบครัวเหยื่อ
6. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงยุติธรรมชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการกับผู้กระทำผิดให้ทราบโดยทั่วกันโดยเร็ว 7.กสทช. เป็นแกนนำถอดบทเรียนการทำงานของสื่อ เพื่อสร้างบรรทัดการนำเสนอข่าวสารสถานการณ์เช่นนี้ 8. ทหารชี้แจงเกี่ยวกับกำกับควมคุมการใช้อาวุธของกำลังพลและหามาตรการป้องกันไม่ให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น 9. คนโคราชจัดทำบุญใหญ่ให้เหยื่อ 10. คนไทยช่วยกันทำสิ่งดีดีเพื่อเป็นพลังให้ประเทศไทยผ่านเรื่องเลวร้ายครั้งนี้ไปให้ได้โดยเร็วและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
Leave a Reply