เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระนิสิตปริญญาเอก สาขาวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้แสดงความเห็นต่อกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อท.196/2561 คดีฟอกเงินทุจริตจัดสรรงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ของวัดสามพระยา ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริต 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา, กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กับอดีตพระอรรถกิจโสภณ (สมทรง อรรถกฤษณ์) และเลขาฯเจ้าคณะกรุงเทพ เป็นจำเลยที่ 1-2 โดยศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องความว่า
ต้องไม่ใช่แค่เรื่องของการยกฟ้องแล้วให้จบกันไปอย่างนี้นะ ต้องไม่ใช่เรื่องของการบอกว่า “มันเป็นคราวเคราะห์หรือกรรมเก่าของจำเลยเอง” อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะต้องทำอะไรให้เป็นมาตรฐานกันเสีย ถึงเวลาที่จะต้องมาแก้ไขปรับปรุงในกฎระเบียบที่ไม่เป็นธรรม ที่ขัดต่อหลักของสิทธิและเสรีภาพ พระก็พลเมือง ควรได้รับการปฎิบัติในทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมเสมอเหมือนกับผู้อื่น
ต่อกรณีนี้ ถึงในที่สุด ถ้าศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องอีก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรต้องออกมาทำอะไรเพื่อแสดงถึงการขอขมากรรมและการสำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไปด้วย อาตมาอยากจะเสนอหรือจะบอกว่าเรียกร้องก็ได้ในเรื่องที่เป็นแนวทางซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แนวทางที่อาตมากล่าวถึงมีอยู่ 3 ข้อ นั่นก็คือ
1. หากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องตามศาลอุทธรณ์ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เสนอความเห็นให้มหาเถรสมาคมพิจารณาชำระอธิกรณ์ตลอดจนถึงคืนสมณเพศให้กับพระพรหมดิลก ในฐานะที่ท่านมิได้เป็นผู้มีมลทินมัวหมอง
2. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกแถลงการณ์ประกาศยืนยันถึงความบริสุทธิ์ ตลอดจนถึงประกอบพิธีขอขมากรรมต่อพระเถระที่ถูกกล่าวหาให้เป็นผู้ต้องมลทิน
3. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เสนอไปยังรัฐบาลเพื่อให้พิจารณาคืนสมณศักดิ์ให้กับพระเถระเหล่านั้นด้วย
นี่เป็นสิ่งที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติควรกระทำนะ และอาตมาก็หวังว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะทำด้วย ทำเพราะเห็นแก่ความเป็นธรรม ทำเพราะเห็นแก่ความยุติธรรม อย่าให้สังคมไทยเวียนวนอยู่แบบนี้อีกเลย อย่าให้ในอนาคตมีพระที่ต้องมีชะตากรรมอย่าง พระพิมลธรรม หรือพระพรหมดิลกอีกเลย
Leave a Reply