อย่า !! ต้องให้คณะสงฆ์ “คว่ำบาตร” ??

โดย..เปรียญสิบ

            “ยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เป็นหน่วยงานของพระศาสนา แทนที่จะปกป้องสิทธิของพระอันจะพึงปกป้อง แทนที่จะคุ้มครองความเป็นธรรมของพระอันจะพึงคุ้มครอง นี่มีหน้าเรียกตัวเองว่า เป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ยังไง..” อันนี้เป็นคำพูดของหลวงพี่ไพวัลย์ วรวณฺโณ

            อารมณ์นี้น่าจะเกิดจากเหตุการณ์ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเผยแพร่คำพูดที่ว่า “จำเลยขาดจากการเป็นพระภิกษุแล้วย่อมไม่สิทธิแต่งกายเป็นพระภิกษุอีก” กรณีอดีตพระพรหมดิลก นุ่งห่มจีวร เพราะ คดีเงินทอนยังไม่สิ้นสุด…

            ในขณะที่ต่อมาสำนักงานพระพุทธแห่งชาติแถลงว่า การพ้นจากพระภิกษุมี 2 กรณี คือ 1. เปลื้องจีวร เปล่งวาจาสึก และ 2. อาบัติปาราชิก  ซึ่งตามกฎหมายถือว่าอดีตพระพรหมดิลก และอดีตพระอรรถกิจโกศล พ้นจากสมณเพศแล้ว..

            แต่ไม่พูดถึงองค์ประกอบความสมบูรณ์ของการลาสิขาตามพระธรรมวินัยและตามกฎหมายมาตรา 29 และ 30 คือ

            ตามกฎหมาย การจะให้พระภิกษุสละสมณเพศ ตามมาตรา 29 นั้น ต้องจัดการให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย โดยต้องมีเจตนาเปล่งวาจาลาสิกขาต่อหน้าผู้รู้ความ ตามแนวของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6782/2543 “การจะขาดจากความเป็นพระภิกษุ ตามมาตรา 29 พระภิกษุรูปนั้น ต้องมีการกล่าวคำลาสิกขา” 

               เมื่อดำเนินการให้ลาสิกขา ตามมาตรา 29 แล้ว ตำรวจต้องรายงานต่อศาลตามมาตรา 30 แต่กรณีนี้เท่าที่ทราบ ไม่มีการเปล่งวาจาสึกต่อหน้าผู้รู้ความ หรือตามกฎหมายมาตรา 29  ทั้งการรายงานต่อศาลว่า ท่านได้สึกแล้ว ตามมาตรา 30 ก็ไม่มี

              มีแต่เจ้าหน้าที่เรือนจำ..ไปขอเปลื้องจีวรท่านออก

             มีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน..ไปขอขมาท่านหลังจากปล่อยออกจากคุกมาแล้ว

            ทัวร์ลง!! สำนักงานพุทธ สิครับ พูดแบบนี้ แทนที่จะอยู่นิ่ง ๆ ไปแก้ไขข้อผิดพลาดที่ตัวเองเป็นต้นเรื่องฟ้องพระ ที่คนของตัวเองชงเรื่อง ก่อเรื่อง แล้วเกิดการทุจริต โชคร้ายมี “พระสงฆ์ติดร่างแห” ไปด้วย

            แทนที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติ จะทำหน้าที่ดังที่หลวงพี่ไววัลย์ ท่านว่า

            ตอนนี้ทำท่าจะบานปลายมีข่าวว่า จะมีคณะสงฆ์และชาวพุทธกลุ่มหนึ่งกำลังจะทำพิธี “คว่ำบาตร” สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

            ตามรอยพระสายวัดป่า..คว่ำบาตร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

            เมื่อตอนที่แล้ว คงจำได้ว่า ผู้เขียน ๆถึงความเป็นมาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่า มีคณะสงฆ์ นำโดยศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ไปตากแดด ตากฝน ทนปวดขี้ ปวดเยี่ยว อยู่หน้ารัฐสภา  จนได้มาให้พวกท่านในสำนักงานพระพุทธแห่งชาติ มีรถประจำตำแหน่ง มีเงินเดือน มีเบี้ยเลี้ยง เลี้ยงครอบครัวได้ แทนที่จะสำเหนียก บุญคุณพระคุณเจ้า แทนที่จะตอบแทนดูแลท่าน จากหนักเป็นเบา ดันไป ฟ้อง ดันไปไล่บี้จับท่าน แบบนี้ หากศาสนาอื่น ๆ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คงเล๊ะเป็นจุณไปแล้ว

            ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้สังคมสงสัยว่าผิดธรรมชาติมาตั้งแต่ต้น

            การจับกุม ก็ลุกลี้ลุกลน แทนที่จะเป็นหมายเรียก เจ้าหน้าที่ตำรวจไปล้อมจับกุม..ภาพที่ออกมาอย่าว่าแต่ไปจับกุมกรรมการมหาเถรสมาคม 3  รูป เลย ภาพไปจับพระพุทธอิสระ ในที่นอน สะเทือนใจชาวพุทธทั้งประเทศ

            หลังจากจับแล้วเท่าที่ทราบ ก็ไม่มีพิธีเปลื้องจีวรและเปล่งวาจาสึกต่อหน้าผู้รู้ความ..ตั้งแต่ในชั้นสอบสวนของตำรวจ ในศาล แต่ให้ใส่ชุดนักโทษตอนจะเข้าคุก เพราะอันนี้เจ้าหน้าที่เรือนจำให้ใส่ เพราะเป็นกฎปฎิบัติก่อนผู้ต้องหาเข้าคุก   อันนี้ข้อมูลเชื่อถือได้ เพราะผู้เขียนสอบถามจากพระภิกษุที่ถูกกล่าวหาโดยตรง

            กฎหมาย จะมาใหญ่กว่า พระธรรมวินัย ไม่ได้..อันนี้ชาวพุทธและผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พึงสำเหนียกเอาไว้..และฝากถึงกรรมการมหาเถรสมาคมด้วย..พวกท่านดูเอาไว้หากพวกท่านไม่ปกป้องคนของพวกท่าน วันหนึ่งลูกศรนั้นก็จะอาจย้อนกลับมาทิ่มแทงพวกท่าน..เพราะทราบว่าตอนนี้คนมีอำนาจตาเริ่มสว่างบ้างแล้ว ทำให้นึกถึงคำพูดของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่ว่า

           “กูไม่นึกว่าพระผู้ใหญ่จะมีเล่ห์เหลี่ยมได้ขนาดนี้”
            รัฐธรรมนูญ กฎหมายมันแก้ได้ ฉีกได้ แต่พระธรรมวินัย สายเถรวาทบ้านเรา มีธรรมเนียมปฎิบัติมานับพ้น ๆปี จะแก้ไขไม่ได้

            หรือถึงเวลา…ต่างคนต่างอยู่ พระสงฆ์เราอยู่ได้ด้วยชาวบ้านมิใช่ด้วยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ..

**********************

Leave a Reply