อุกอาจ !! จจ.นครศรีฯ ร้องสื่อกลุ่มอิทธิพลบุกยึดวัด ทุบทำลายกำแพง-ขู่พระห้ามจุ้น

“ช่วยอาตมาหน่อยโยม เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ร้องสื่อกลุ่มอิทธิพลชั่วบุกยึดวัด ทุบกำแพงวัด-ตัดต้นไม้ไม่เกรงกลัวกฎหมาย หนักสุดเปิดเรี่ยไร่หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไม่กลัวบาปกรรม ชาวบ้านผวาไม่กล้าขวาง..”

            วันที่ 27 เม.ย. 2564 ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับการร้องเรียนขอความเป็นธรรมจาก พระราชปริยัติเวที หรือ “เจ้าคุณเจือ” เจ้าอาวาสวัดมุมป้อม เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (มหานิกาย) ให้ช่วยเหลือพระพุทธศาสนา กรณีถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช บุกรุกที่วัดอินทาราม หมู่ 3 ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มาตัดต้นไม้ ทุบทำลายกำแพงวัด และนำเสาปูนไปปักกั้นพื้นที่ภายในวัดเป็นของตัวเองโดยพลการไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง พร้อมมอบภาพถ่ายเหตุการณ์ที่กลุ่มอิทธิพลเข้าไปภายในวัดตัดต้นไม้ ทุบทำลายกำแพงวัด และนำเสาปูนไปปักกั้นพื้นที่ภายในวัดเป็นหลักฐาน

         พระราชปริยัติเวที  เปิดเผย ว่า วัดอินทาราม ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2475 รับวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ.2518 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีกลุ่มอิทธิพลเข้าไปยึดอำนาจภายในวัดทั้งหมด ทะเลาะวิวาท ข่มขู่คุกคามจนเจ้าอาวาสต้องลาออก และไม่มีพระรูปใดกล้ารับเป็นเจ้าอาวาสวัดอินทาราม กลุ่มอิทธิพลเข้ามายึดที่วัดอยู่อาศัยในที่วัดโดยพลการ ออกฎีกาทอดกฐิน ผ้าประทับตราวัดเองเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองและพวกพ้อง โดยเงินที่ได้จะเก็บกันไว้เองโดยไม่มีพระรับรู้ และจะทำอะไรในวัดก็ได้ โดยไม่สนใจว่าวัดเป็นนิติบุคคล

         “มีตัวแทนชาวบ้านเดือดร้อนร้องเรียนมายังคณะสงฆ์ และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทุ่งสง อาตมาได้เข้าไปตรวจสอบก็พบว่าปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนเป็นเรื่องจริง อาตมาจึงต้องเข้าไปรักษาการเจ้าอาวาสวัดอินทาราม เพื่อหาทางแก้ไขปัญหารักษาทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา และนำเรื่องกราบเรียนต่อนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และว่าที่ร้อยตรีกิตติภพ รอดดอน นายอำเภอทุ่งสง จนศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทุ่งสงมีการกำหนดวันในการเข้าไปเจรจาตรวจสอบและไกล่เกลี่ยและดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายในวันที่ 20 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา และแต่งตั้งพระภิกษุรูปหนึ่งให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลวัดและบริการประชาชนที่เข้ามาทำบุญที่วัด”

            แต่เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทางศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทุ่งสง จึงขอเลื่อนการเจรจาตรวจสอบและไกล่เกลี่ยออกไปโดยไม่มีกำหนด แต่ในวันเดียวกันกลับมีกลุ่มบุคคล 4-5 คน นำโดยอดีตข้าราชการครูเกษียณราชการคนหนึ่งเข้าไปทุบกำแพงวัด และปักเสาปูนยึดพื้นที่ภายในวัด โดยไม่มีใครกล้าขัดขวาง อาตมาได้แจ้งเหตุพร้อมภาพถ่ายเป็นหลักฐานให้ว่าที่ ร้อยตรี กิตติภพ รอดดอน นายอำเภอทุ่งสงทราบ เพื่อระงับยับยั้งการกระทำ แต่ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งๆที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ฝ่ายปกครอง ตำรวจรับรู้ แต่ไม่มีใครออกมาห้ามปรามดำเนินการใดๆ กลับปล่อยให้คนกลุ่มนี้ละเมิดกฎหมาย ทำลายวัด ทำลายพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ชาวบ้านได้แต่ร้องห่มร้องไห้ที่วัดถูกทำลายและถูกกลุ่มอิทธิพลยึดเป็นเจ้าของ

             “อาตมาและวัดไม่มีนโยบายที่จะทะเลาะกับชาวบ้าน อาตมาจะยืนหยัดด้วยหลักพระพุทธศาสนา คือเมตตา มองคนทุกคนทุกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อาตมาจะไม่แจ้งความ ไม่ฟ้องร้องใดๆ ดูสิว่ากลุ่มอิทธิพลมารศาสนามันจะทำชั่วไปได้ถึงไหน ถ้าหากพระพุทธศาสนามีเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองจริงก็จะปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม อาตมามาเรียนแจ้งให้สื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าวเพียงเพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าทุกวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับวัดวาอารามบ้าง หลายวัดทั่วจังหวัดที่โดนกลุ่มอิทธิพลมารศาสนาบุกรุกยึดครองที่ดินวัดโดยไม่สำนึกและไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดที่จะสามารถปกป้องวัดซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของส่วนรวม เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา เมื่อวัดไม่มีใคร องค์กรใดคุ้มครอง จะอยู่คู่กับสังคมไทยได้อย่างไร จะให้คณะสงฆ์ไปเผชิญหน้าต่อสู้กับบุคคลหรือกล่มบุคคลประเภทนี้เพียงฝ่ายเดียวคงสู้ไม่ไหวแน่นอน”

          โดยเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2560 เรื่องฉาวโฉ่สะเทือนวงการพระพุทธศาสนาได้ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อกลุ่มอิทธิพลที่หากินหาผลประโยชน์กับวัดได้ฆ่าโปกปูนฝังศพสามเณรศุภโชค เอกเกียรติกุล หรือ สามเณรปลื้ม อายุ 17 ปี กลางวัดวังตะวันตก ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมฆาตกรที่ร่วมกันฆ่าโปกปูนฝังศพสามเณรปลื้ม ให้การรับสารภาพว่าร่วมกันก่อเหตุเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 3 ม.ค. 2560 หรือ 5 เดือนก่อนพบศพ ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมกับคณะสงฆ์ขึ้นมาตรวจสอบที่ดินและทรัพย์สินของวัดหลายแห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดนครศรีธรรมราชสามารถยึดคืนที่ดินของวัดกลับคืนมาได้จำนวนมาก แต่ในปัจจุบันเวลาผ่านมาแค่ 3 ปีเศษ สถานการณ์ต่างๆทำให้วัดกำลังจะกลับไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของมารศาสนาอีกครั้ง และรอวันที่จะเกิดเรื่องราวอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ เศร้าสลด สะเทือนใจชาวพุทธครั้งใหม่ขึ้นอีกอย่างแน่นอน” พระราชปริยัติเวที หรือเจ้าคุณเจือ กล่าวอย่างเศร้าใจ

ขอบคุณภาพ -ข้อมูล : ไพฑูรย์ อินทศิลา ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.นครศรีธรรมราช

Leave a Reply