การระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย เริ่มมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ประกาศห้ามออกนอกเคหะสถานยามวิกาล และขอความร่วมมือให้ประชาชนชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด ซึ่งปัจจุบันบางมาตรการได้ถูกยกเลิกไปแล้วเว้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
การเกิดขึ้นของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชนอย่างหนัก โดยเฉพาะด้านการใช้จ่ายในครัวเรือน จนรัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
“กรมการพัฒนาชุมชน” กระทรวงมหาดไทย ถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชน จึงได้เข้ามามีบทบาท ช่วยพยุงขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากไว้อย่างมั่นคง มุ่งสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนโดยเฉพาะโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา” ที่ได้รับงบประมาณเงินกู้จากรัฐบาลถึง 4,700 ล้านบาท
การดำเนินการ “โคก หนอง นา” ปัจจุบันกระจายและครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า 73 จังหวัด สร้างงานให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากกว่า 9 พันราย มีครัวเรือนเข้าร่วมสมัครโคก หนอง นา กรมพัฒนาชุมชนหลายหมื่นครัวเรือน โครงการนี้นอกจากครัวเรือนมีความมั่นคงในด้านอาหารพอมีรายได้เลี้ยงครัวเรือนแล้ว ผลที่ตามมาคือประเทศไทยมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนหลายแสนไร่ ระยะยาวลดปัญหาภัยแล้งได้ และรวมทั้งประชาชนเข้าใจทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรหลายหมื่นคน โดยผ่านการอบรมเสริมความรู้ 5 วัน 4 คืน
“ทีมข่าวพิเศษ” ได้ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อไปดูความคืบหน้าการดำเนินงานโคก หนอง นา จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ “มนทิรา เข็มทอง” พัฒนาการจังหวัดเพชรบูรณ์ คือผู้หนึ่งที่มีส่วนสำคัญร่วมคิดร่วมทำและร่วมผลักดันโครงการนี้มาตั้งแต่ต้น ภายใต้แม่ทัพชื่อ “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนจน จนก่อให้เกิด “โคก หนอง นา” ที่จับต้องได้ทุกวันนี้
“มนทิรา เข็มทอง” พัฒนาการจังหวัดเพชรบูรณ์ เผยความในใจว่า พูดทีไรขนลุกทุกที ตนเองรับราชการมา 30 กว่าปี ทำมาหลายเรื่อง ทำงานเชิงนโยบาย แต่พอทำงานนี้ทำไป มีความสุขไป เพราะว่าแม้มันจะกดดันมาก มันเป็นงานยาก มันเป็นเรื่องผสมผสานระหว่างความคาดหวังของผู้บริหารกรมพัฒนาชุมชนและความต้องการของผู้คนในสังคมโครงการโคก หนอง นา นี้สร้างความภูมิใจในชีวิตราชการและสร้างความสุขให้เราได้ บางวันคิดเขียนและแก้โครงการตามคำสั่งและคำแนะนำของท่านอธิบดีจนตีสองตีสาม วันเสาร์อาทิตย์ไม่ได้หยุด ยิ่งบางวันต้องไปชี้แจงกับคณะกรรมาธิการในสภายิ่งกดดัน เพราะเจอคำถามต่าง ๆ มากมาย

“พี่ว่ามันหาไม่ได้นะงานที่ทำไป มีความสุขไป ทั้ง ๆ ที่งานพัฒนาชุมชน มันเป็นงานที่ทำเพื่อคนอื่น คือทำให้คนได้เรียนรู้ ให้คนได้รู้จักพึ่งตนเองได้ในที่สุด แล้วก็ทำมาเรื่อย ๆ แต่งานเนี่ยมันเป็นงานที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดงานหนึ่งของกรมพัฒนาชุมชน คำว่าส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ให้คนได้เรียนรู้ ให้คนรู้จักคิด รู้จักตัดสินใจที่จะลงมือทำ สิ่งเหล่านี้มันเป็นนามธรรม แต่พอมาทำตรงนี้มันเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเลย..”
เมื่อถามว่า ก่อนทำได้คิดไหมว่า โคกหนองนา จะได้รับความนิยมขนาดนี้
“พี่มน” กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่คิดมาก่อนเลย ที่ไม่คิดเพราะว่าที่ผ่านมา การทำเรื่องการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9กรมการพัฒนาชุมชนไม่ได้พึ่งทำ ทำมาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่ปี 2549 แต่ว่ามันก็มาเรื่อย ๆ ซึ่งก็ไม่ได้หวังให้มันเด่นดัง ขอหวังว่าให้ทุกคนเอาไปใช้ในวิถีชีวิต อันนั้นคือเราหวังผล ไม่ได้ต้องการให้มันเด่นดัง ไม่ให้มันบูม เพราะว่าการเด่นดังบางทีมันก็ไม่ยั่งยืน แต่ต้องการให้มันซึมลึกไปเรื่อย ๆ ให้มันยั่งยืน ให้มันเป็นวิถีชีวิตหรือเป็น day of life ของคน แต่พอเรื่องนี้มันมาพร้อมกับกระแสกับสถานการณ์โควิดซึ่งมันตอบโจทย์พอดีสถานการณ์เรื่องนี้คือ กรมพัฒนาชุมชนทำทุกเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว ทุกที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ดีกินดี เพราะเราทำเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต แล้วพอทีนี้ โครงการโคก หนอง นา นี้มันตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน คนเรามีปัจจัย 4 ก็อยู่ได้ เมื่อคนเรามีปัจจัย 4 ครบ ชีวิตก็มีความสุขแล้วมีความพึงพอใจก็อยู่ได้ โครงการนี้เป็นโครงการที่สร้างปัจจัย 4 ให้คนได้ แล้วก็จะสร้างความสุขให้คนได้ หันกลับมาที่ตัวพี่เอง ตัวพี่เองก็การทำงานตั้งแต่เริ่มการเขียนโปรเจคละ เป็นผู้อำนวยการกลุ่มรับผิดชอบโครงการมีหน้าที่ทำรายละเอียดโครงการเสนอท่านอธิบดี เสนอไปที่กระทรวงมหาดไทยและไปที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
“ตั้งแต่มารับตำแหน่งพัฒนาการจังหวัดที่นี้ เดินหน้าเต็มที่ โชคดีเคยมาเป็นพัฒนาการอำเภอที่นี่มาก่อน รู้จักคน เครือข่ายเป็นอย่างดี งานเลยราบรื่น ตอนนี้จังหวัดเพชรบูรณ์มีผู้เข้าร่วมโครงการ โคก หนอง นา กรมพัฒนาชุมชน ครบทั้ง 11 อำเภอ จำนวน 110 ตำบล 619 หมู่บ้าน 936 ครัวเรือน และสร้างงานให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากโควิดจำนวน 220 คน การอบรมคนเข้าร่วมโครงการ5 วัน 4 คืน จำนวน 12 รุ่นจบไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน
ที่นี่ภาครัฐ ภาคเอกชน ทุกคนให้ความร่วมมือดีมาก ยิ่งประชาชนบางวันเราลงไปเปิดอบรม ไปเยี่ยมโครงการ ร้องให้เลย เราก็พลอยปีติปลื้มใจไปด้วย เมื่อเห็นโครงการนี้ประชาชนนี้มีทั้งเกษตรกร นักธุรกิจ หรือเด็กจบใหม่ ก็ชื่นชอบ เราก็ภูมิใจแทนท่านอธิบดีและคนของกรมพัฒนาชุมชน”
หลังคุยเสร็จเรียบร้อยทีมงานข่าวได้รับการชี้แนะจาก “พี่มน” มนทิรา เข็มทอง พัฒนาการจังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ไปดูแปลงตัวอย่างจำนวน 2 แปลง แปลงแรกตั้งอยู่ที่อำเภอหล่มเก่า เป็นเด็กวัยรุ่นที่สนใจมาทำโคก หนอง นา โดยมีพ่อและแม่เป็นผู้สนับสนุน สำหรับแปลงที่สองตั้งอยู่ในอำเภอหล่มสักอยู่ไม่ไกลกันมาก ที่หล่มสักถือว่าเป็นแหล่งผลิตผักปลอดสารพิษให้กับห้างใหญ่อย่าง ท็อปส์ มาร์เก็ต ในเครือเซ็นทรัลเลยทีเดียว

จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวสวยงาม ธรรมชาติร่มรื่น เป็นเมืองเหมาะเป็นโรงครัวของประเทศ เพราะดิน น้ำอุดมสมบูรณ์ ทิวทัศน์ตลอดสองข้างทางกว่าจะถึงแปลงเป้าหมายอำเภอหล่มเก่ามีแปลงผักเป็นระยะ ๆ
“กาฟิว” ณัฎฐากร แก้วคง เด็กหนุ่มไฟแรง ผู้ปฎิเสธอาชีพรับราชการหันมาสนใจทำโคก หนอง นา ภายใต้พื้นที่ 3 ไร่ของครอบครัว
เมื่อไปถึงแปลง “กาฟิว” ได้พาทีมงานชมพื้นที่ทำโคก หนอง นา ในเนื้อที่ 3 ไร่ ตอนนี้ได้ทำการขุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีแปลงผัก แปลงนา และกำลังปรับปรุงให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ตอนที่ไปมีเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนและเครือข่ายมาร่วมต้อนรับย่อม ๆ พร้อมกับน้อง ๆ นักพัฒนาต้นแบบ 2 คนร่วมพาชมพื้นที่ด้วย
“น้องสริตา” สริตา โพธิ์ทองคำ เพิ่งจบมาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎแห่งหนึ่งจากกรุงเทพมหานคร สาขาคหกรรรม มาสมัครเป็นนักพัฒนาต้นแบบหรือ นพต. และอีกคนชื่อ รัสมี กัลยาประสิทธิ์ เป็นแม่บ้านมีภาระต้องส่งลูกเรียน โควิด ทำให้กระทบกับงานที่สร้างรายได้มาสมัครเป็นนักพัฒนาต้นแบบ ทำหน้าที่ช่วยงานด้านเอกสารและแนะนำให้ความรู้แก่เจ้าของแปลงผู้เข้าร่วมโคก หนองนา
นอกจากนี้วันที่ทีมงานไปถึงมีเครือข่ายผู้เข้าร่วมโคก หนอง นา มาร่วมพูดคุยและรับประทานอาหารด้วยกันด้วย

“พี่อ้อย” สุภาพร แก้วคง แม่ของการ์ฟิว เล่าถึงกาฟิวด้วยความภาคภูมิใจว่า
“ความจริงกาฟิว มีคนแนะนำให้รับราชการแต่เขาไม่ชอบ อยากทำเกษตร อยากทำโคก หนอง นา ตรงนี้มีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน แบ่งเป็นโคก หนอง นา 3 ไร่ ทำไม่ได้คิดอะไรมาก อยากทำเอาไว้สำหรับเป็นสถานที่พักผ่อน กาฟิวปกติเขามีธุรกิจน้ำดื่มและคาร์แคร์ ตอนนี้มีตำแหน่งผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ของกรมพัฒนาชุมชนและในทางสังคมเขามีบทบาทเป็นสารวัตรกำนันด้วย ก็รู้สึกภูมิใจที่ลูกชอบแบบนี้ พ่อกับแม่ก็สนับสนุนเขาเต็มที่”
ส่วน “กาฟิว” กล่าวเสริมว่า การทำโคก หนอง นา สำคัญสุดคือมันมีแหล่งอาหาร ยิ่งปัจจุบันมีโรคติดต่อแบบนี้ ยิ่งจำเป็นต่อครอบครัว คิดว่า ความสำคัญสุดของการใช้ชีวิตยุคนี้คือ มักให้ความสำคัญกับเงินเป็นหลัก แต่สำหรับตัวเอง คิดว่าไม่ถูกทั้งหมด ปัจจัย 4 อากาศบริสุทธิ์สำคัญที่สุด

“การทำงานร่วมกับกรมพัฒนาชุมชนรู้สึกดีมาก พี่ ๆ เขาให้ความสนับสนุนเราเต็มที่ ผมเพิ่งจับงานแบบนี้ครั้งแรก ยังทำอะไรไม่ค่อยเป็น คน พช. เหมือนกับเป็นพี่เลี้ยงให้เรา และใจเราอยากทำแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่ง พช.เขาเอางบมาช่วย งานเลยยิ่งออกมาดี ตอนนี้ขุดไปแล้ว 2 บ่อ มีคลองใส้ไก่เรียบร้อย
เป้าหมาย การทำโคก หนอง นา อย่างแรกสำหรับผมคือ เป็นแหล่งอาหาร แล้วก็คาดหวังเป็นสเต็ป ๆ ไป คือ ถ้าสมมติทำขึ้นมาได้แล้วไปรอด ก็อยากจะทำเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ขึ้นไปอีกขั้นก็คือ เป็นแหล่งสถานที่ท่องเที่ยว มีโฮมสเตย์ อะไรประมาณนี้..” ณัฎฐากร แก้วคง บอกเป้าหมายของการทำโคก หนอง นา
หลังจากทีมงานรับประทานอาหารฝีมือนักศึกษาวิศวะผู้เป็นน้องชายกาฟิวด้วย ส้มตำ คอหมูย่าง เรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปอยู่ที่ตำบลปากดุก อำเภอหล่มสัก ซึ่งที่นั้นประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูกยาสูบ ทำสวน ปลูกหอม ปลูกกระเทียม เลี้ยงสัตว์
ครอบครัว “แก่นนาค” เป็นครอบครัวหนึ่งที่ทำการเกษตรปลอดสารพิษ พื้นที่อยู่ท่ามกลางโล่งแจ้ง อากาศดี มีแปลงผักนานาชาติทั้งผักชี ผักกาด กว้างกุ้ง ผักเพกา ปลูกอยู่ทั่วบริเวน โดยเฉพาะมะม่วงกำลังออกลูกดกแทบทุกต้น ในขณะที่บางจังหวัดผลิตผลปีนี้แทบไม่มี ทางเข้าแปลงเป้าหมายสังเกตมีน้ำและดินค่อนข้างดี เมื่อทีมงานผ่านถนนคอนกรีตเล็ก ๆ เข้าไปถึงพื้นที่เป้าหมายโคก หนอง นา ที่เพิ่งขุดเสร็จ ยังไม่ได้ปลูกอะไรมากมาย

“เหม” ศักดิ์นิรันดร์ แก่นนาค ลูกชายเจ้าของแปลง เพิ่งจบการศึกษามาใหม่ ๆจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พาชมดูแปลงโคก หนอง นา บนเนื้อที่ 3 ไร่ ที่ขุดเสร็จแล้ว บอกว่า
ที่ตรงนี้เพิ่งขุดเสร็จเมื่อปลายเดือนมีนาคม เดิมตรงนี้ปลูกพืชผักประเภทกวางตุ้ง กะหล่ำ ผักชี หน้าแล้งจะไม่มีน้ำ หลังจากนี้ ตั้งใจไว้ว่าจะปลูกพืชไร่นาแบบผสมผสาน และทำเป็นแหล่งเรียนรู้ สร้างอาชีพให้กับครอบครัว ตรงปากดุกนี้ โชคดีคือ พืชผักมีเท่าไร เครือเซ็นทรัลเขารับหมด เกือบ 10 ปีมาแล้วที่ท่านเครือเซ็นทรัลมาตั้งโรงเย็นอยู่ที่นี่ เรื่องตลาดจึงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร
เหม กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “กว่าจะมีวันนี้ ต้องขอขอบคุณคนของพัฒนาชุมชน รู้เลยว่า ทำงานตรงนี้เหนื่อยและกดดันมาก พูดตรง ๆ เราก็ต้องการแบบนี้ แต่ทางพัฒนาชุมชน ท่านก็มีแบบของท่าน บางทีก็ต้องมานั่งคุยกัน ให้มันไปด้วยกันให้ได้ อย่างการขุดตรงนี้ตามแบบคือ 4 เมตร แต่ทางครอบครัวขอเป็น 6 เมตร
การทำโคก หนอง นา ครอบครัววางแผนไว้ว่า อนาคตเราจะมีผลิตภัณฑ์ของเราเองอะไรอย่างนี้ และก็จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ของตำบลเราเอง ชุมชนเราเอง และก็ส่งเสริมอาชีพหารายได้ให้กับครอบครัวเราและชุมชน ผมว่า หากเราทำได้แบบนี้ ดีกว่าต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างของคนอื่น..”


Leave a Reply