ตลอดเส้นทางวิถีสมณเพศของเปรียญสิบ ผ่านสำนักเรียนมาหลายสำนัก หลายวัด ส่วนใหญ่คนมักจดจำและรู้ก็คือ วัดทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี วัดท่าถนน จ.อุตรดิตถ์ วัดอรุณราชวราราม และวัดสังข์กระจาย กรุงเทพมหานคร
มีคนรู้ไม่ถึงสิบคนว่า “เปรียญสิบ” เคยอาศัยจำพรรษาอยู่และสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค จากสำนักเรียน “วัดปากน้ำภาษีเจริญ” แม้แต่คนในวัดปากน้ำเองก็ไม่รู้จัก เพราะเหตุใด เดียวเล่าให้ฟัง
“เปรียญสิบ” แรกเริ่มเดิมทีเข้ามาอาศัยอยู่วัดอรุณราชวรารามในขณะที่ยังเป็นสามเณรในปีพุทธศักราช 2538 ด้วยการชักชวนของ พระมหาขวัญ ถิรมโน หรือปัจจุบันคือ “พระศรีสุทธิเวที” หรือ “เจ้าคุณขวัญ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ซึ่งเป็นผู้นำจากป่ามาเรียนบาลี ณ “สำนักเรียนวัดทุ่งลาดหญ้า” จ.กาญจนบุรี
ครั้งแรกอยู่วัดอรุณราชวราราม เจ้าคุณขวัญฝากให้อยู่ภายใต้การดูแลของ “เจ้าคุณเชื้อ” ปัจจุบันคือ “พระราชธีราจารย์” คณะ 3 วัดอรุณราชวราราม “เจ้าคุณเชื้อ” ท่านเป็นพระที่เคร่งในระเบียบ เป็นพระสมถะ เป็นคนตรงไปตรงมาสไตร์ “คนปักษ์ใต้” หน้าที่ของเราในขณะเป็นสามเณรคือ หลังจากกลับมาจากบิณฑบาตเมื่อฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องเข้าไปถูห้อง ล้างกระโถน เทกระโถนถี่ ล้างบาตร ดูแลเรื่องอาหารการฉันให้กับเจ้าคุณเชื้อ เสร็จแล้วก็ไปเรียนหนังสือที่ศาลา ชาววัดอรุณเรียกกว่า “โรงเรียนเผือก”
อาจารย์ผู้สอนบาลีเปรียญธรรม 6 ประโยค ยุคนั้น สอนแบบตัวต่อตัวก็คือ “พระมหาสมเกียรติ โกวิโท” ปัจจุบันคือ “พระพรหมวัชรเมธี” เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม นั่นเอง
ตอนเช้าหลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ก็จะเรียนหนังสือกับ “พระมหาสมเกียรติ” ซึ่งในปี 2538 ท่านยังไม่ได้รับสมณศักดิ์เจ้าคุณ เรียนกันสองรูป วันไหนท่านไม่ว่าง ไม่สบาย “เปรียญสิบ” เชิงถูกบังคับจาก “เจ้าคุณเชื้อ” ให้เดินทางไปเรียน “สำนักเรียนวัดชนะสงคราม” ที่มีชื่อเสียงด้านสอนบาลีเลื่องลือยุคนั้น
หลังออกพรรษา อย่างที่บอกแต่ต้น “เจ้าคุณเชื้อ” ท่านเป็นพระเคร่งในกฎระเบียบ เคร่งพระวินัย วันไหนเรากลับมาช้า หรือกลับดึกอย่าหวัง “จะเข้ากุฎิ” ได้ จึงปรึกษากับ “เจ้าคุณขวัญ” ว่าอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว ขอโบกมือลาออกจากวัดอรุณราชวราราม
ช่วงจังหวะเดียวกันกับสมัยอยู่ “วัดท่าถนน” จ.อุตรดิตถ์ พระอาจารย์ใหญ่ที่นั้นคือ “พระมหาจำปา วชิรญาโณ” เป็นศิษย์เก่าวัดปากน้ำภาษีเจริญ จึงขออนุเคราะห์จากท่านให้ฝากเข้าอาศัยอยู่ ณ วัดปากน้ำภาษีเจริญ
ในปี พ.ศ. 2549 ครั้งแรกพบ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” พระมหาเถระที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แววตาคำพูดเพียบพร้อมไปด้วยเมตตา โดยเฉพาะกับลูกศิษย์ “จำชื่อแม่น” ทักทายเรียกชื่อก่อนเสมอ ๆ เมื่อท่านยินดีรับเข้าอยู่เรียบร้อย ถูกส่งตัวไปอยู่ที่กุฎิไม้ ซึ่งสร้างไว้แบบชั่วคราว 2 หลัง มีสามเณรภาคเหนือทั้ง “แม้ว ม้ง อ่าข่า ลีซอ กะเหรี่ยง” รวมอยู่ที่นี้นับร้อยชีวิต
“เปรียญสิบ” อาศัยอยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ แบบไม่ได้คลุกคลีกับใคร และพระภิกษุ-สามเณร วัดปากน้ำที่อยู่ในหมู่กุฎิใหญ่ ก็คงไม่อยากเข้ามาคลุกคลีหรือรู้จักกับพวกเราเท่าไร เพราะในหมู่กุฎิของพวกเราเหมือน “คนชายขอบ” ประมาณนั้น
หลังสงกรานต์ปี 2540 สอบบาลีเสร็จเรียบร้อยอายุครบกำหนดบวชพระ จึงเข้าไปกราบ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อลาบวชพระ ท่านถามว่าอยากบวชวัดปากน้ำหรือไม่ หากต้องการเดียวหลวงพ่อจะหาเจ้าภาพให้ ก็กราบเรียนท่านว่า มาจากวัดทุ่งลาดหญ้า เป็นศิษย์หลวงพ่อลำใย จะขอกลับไปบวชที่นั้น ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ
และหลังจากบวชพระแล้ว ชีวิตก็กลับมาอยู่วัดอรุณราชวรารามอีกรอบหนึ่ง โดยอาศัยอยู่กับ “พระครูศรีธรรมปฎิภาณ” เจ้าคณะ 8 คนกาญจนบุรีเหมือนกันและเป็นคณะที่พระศรีสุทธิเวทีหรือเจ้าคุณขวัญอยู่ประจำอยู่แล้ว
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ในฐานะประธานสมัชชามหาคณิสสร ก็เปรียบเสมือน “พระสังฆราช” ฝ่ายคณะสงฆ์มหานิกายดี ๆ นี่เอง หาก “การเมือง” ไม่เล่นตุกติก ไม่สร้างกระแสยัดคดีให้กับท่าน ปานนี้คงขึ้นเป็น “เบอร์หนึ่ง” ของคณะสงฆ์ไทยไปแล้ว
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นพระมหาเถระที่มีคุณต่อคณะสงฆ์และพุทธศาสนามาก เป็นผู้บุกเบิกเรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ ควบคู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) และ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยุตฺโต)
ส่วนเรื่องการสงเคราะห์สังคมไม่ต้องพูดถึงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็น“เอตทัคคะ” เปรียบเสมือน “พระสีวลี” พระอรหันต์ในสมัยพระพุทธกาลที่เป็น “เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก” ชอบหมั่นบริจาคทาน สงเคราะห์คนทั่วไป ไม่เลือกชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์
ซ้ำคนที่บรรดาลูกศิษย์บางคนคิดว่า “เป็นศัตรู – เป็นฝ่ายตรงข้าม” ที่ทำลายชื่อเสียงของท่านอย่างพุทธอิสระ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ยังส่งซิกให้ “พระพรหมโมลี” โทรหา “คนฟ้องร้อง” พุทธะอิสระ “ให้ถอนฟ้อง” ด้วย เพราะไม่อยาก “ผูกเวรพยาบาทต่อกัน”
เนื่องในวโรกาสที่ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจริญอายุวัฒนมงคลครบ 96 ปีในวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคมนี้ ในนามลูกศิษย์ชั่วคราว ขอให้พระองค์ จงมีอายุยืนยาวนานเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ชาวพุทธ ตลอดไปตราบนานเท่านาน และให้ประวัติศาสตร์จารึกชื่อเสียงเรียงนามไว้ตลอดกาลว่า
“สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” เป็นพระมหาเถระผู้มีแต่ให้!!
////////////////////////
Leave a Reply