วันที่ 10 ต.ค. 64 เมื่อวันที่ 8 ที่ผ่านมา นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือเดิมคือ “พุทธะอิสระ” วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้โพสต์เฟชบุ๊ค “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ตอบคำถามของ Phuthipong Kongphaung: ที่ตั้งคำถามว่า
“ตอนนี้ เขาไม่ได้ด่าแค่มหาเถรสมาคมหรอกครับ เขาด่าไปถึงในหลวง และสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากมีจดหมายเสนอความเห็น ตั้ง/ปลด ส่งไปยังในหลวง มันก็เลยทำให้คนมองว่า เหตุใด พระสังฆราชที่เป็นเสมือนผู้นำสูงสุดทางศาสนจักร ถึงยังต้องไปถามความเห็นพระเจ้าอยู่หัว ที่เป็นประมุขของรัฐทางโลกอีก แบบนี้เท่ากับ พระมหากษัตริย์ แทรกแซง ล้วงลูก หรือ พระสังฆราช ท่านได้ทำการไม่เหมาะสมหรือไม่ ประหนึ่งว่า เหมือนโยนเผือกร้อนให้พระมหากษัตริย์ร่วมรับผิดชอบด้วย..ตอนนี้มันก็เลยเป็นแบบนี้ ถ้าไม่รีบทำให้ชัดเจน ศรัทธาระหว่างทั้งศาสนาและพระมหากษัตริย์ จะพังลง ในหมู่ศาสนิก ที่รักความเป็นธรรม.”

ขออนุญาตอธิบายความคุณผู้โพสต์ และผู้อ่านทั้งหลาย ให้ได้เข้าใจ
หากอะไรที่เราไม่รู้จริง ก็อย่าได้พูด อย่าได้โพสต์ส่งเดชไป ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเครื่องมือของขบวนการยุให้รำ ตำให้รั่ว ที่มันกำลังพยายามสร้างความแตกแยกอยู่ ดูตัวอย่าง 3 ป. สิ ขบวนการนี้ก็พยายามยุให้เขาแตกกัน ทั้งที่พวกเขารักใคร่ปองดองกันมายาวนาน
กรณีมหาเถรมีมติปลด 3 เจ้าคณะนี่ก็เช่นกัน มีขบวนการดึงเอาสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยที่ไม่พิจารณาถึงข้อเท็จจริง เพียงเพื่อต้องการทำลายความสัมพันธ์ของสถาบันกับคณะสงฆ์ โดยหยิบเอาบุคคลที่มีมลทินทั้ง 3ที่ถูกปลดมาเป็นหมาก หากจะว่ากันจริงๆ แล้ว ผู้ที่ถูกปลดทั้ง 3ล้วนมีมลทินในด้านพระธรรมวินัย และด้านจริยพระสังฆาธิการ มาด้วยกันทั้งนั้น
เช่น กรณี เจ้าคณะจังหวัดปทุม เป็นที่รู้จักกันว่า ชอบอุ้มพวกธรรมกายจนสุดลิ่มทิ่มประตู โดยไม่แยกแยะถูกผิด
กรณี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ก็มีปัญหาตอนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งกฎของมหาเถรสมาคมระบุไว้ว่า ต้องเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดมาก่อนไม่น้อยกว่า 2 ปี ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว เพราะไม่เคยปฎิบัติหน้าที่นี้มาก่อน และยังมีอธิกรณ์ การผิดจรรยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง แต่ทางมหาเถรสมาคมชุดเก่า มีคำสั่งแค่ตำหนิโทษเท่านั้น
กรณี เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ออกมาปกป้องภิกษุเสพเมถุนรูปหนึ่ง จนเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล เรื่องนี้เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งนำหลักฐานมาให้ฉันดูด้วย ต่อมาภิกษุรูปดังกล่าวได้แจ้งความจับต่อผู้เสียหาย และบีบบังคับให้ผู้เสียหายไปขอขมา แล้วอ้างว่าจะยินยอมถอนแจ้งความเอาผิด
พอผู้เสียหายมาขอขมา ก็ทำการถ่ายภาพส่งให้เจ้าคณะจังหวัดที่ถูกปลดดู เจ้าคณะแทนที่จะเรียกผู้เสียหายและภิกษุผู้ถูกกล่าวหาสอบ กลับยุติเรื่องโดยมิได้มีการดำเนินการทางการปกครองใดๆ ตามที่ผู้เสียหายร้องเรียนเลย ส่วนเรื่องคดีความเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นลูกศิษย์ของภิกษุผู้เสพเมถุน ก็ไม่ได้ยุติตามที่รับปากต่อผู้เสียหาย กลับดำเนินคดีต่อ ผลคือศาลอุทธรณ์ยกฟ้องบางข้อหา แต่ศาลฎีกายกฟ้องทั้งหมด
หากมหาเถรอธิบายความจริงดังกล่าวมานี้ให้สังคมรับรู้อย่างชัดเจน เรื่องมันก็จบ
แต่กลับเลือกที่จะเงียบ แถมคนในมหาเถรออกมาพูดว่าไม่รู้เรื่อง


Leave a Reply