วันที่ 4 เม.ย. 65 วันนี้เวลา17.09 น. ที่วัดปรมัยยิกาวาส วรวิหาร อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีกำหนดการรับพพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ของ พระครูพิพิธเจติยาภิบาล โดยมี พระพรหมเวที เจ้าอาวาสพระปฐมเจดีย์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ พร้อมเป็นผู้อ่านพระบัญชาแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระรามหลวง พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนหลายท่านสงสัยว่า “พระครูพิพิธเจติยาภิบาล” เป็นใครมาจากไหน เป็นคนไทยเชื้อสายรามัญหรือไม่ เกี่ยวข้องกับวัดวัดปรมัยยิกาวาส อย่างไร
เพจ พระเถราจารย์รามัญวงศ์ พระเครื่องวงศ์รามัญ ได้นำประวัติของ พระครูพิพิธเจติยาภิบาล ไว้โดยสังเขปดังนี้
พระครูพิพิธเจติยาภิบาล มีนามเดิมว่า บัวทอง ศรีชื่นชม เป็นบุตรของ โยมพ่อแตงร้าน และโยมแม่เคี้ยม เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พุทธศักราช 2505 ณ บ้านบึงลาดสวาย ตำบลบางภาษี อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม พื้นเพของท่านเป็นชาวไทยเชื้อสายรามัญที่สืบมาแต่บรรพชน ในพื้นที่ที่เชื่อมกันระหว่างบางเลน ไทรน้อย ลาดบัวหลวง และลาดหลุมแก้ว เป็นชุมชนใหญ่ ที่เชื่อมต่อระหว่าง 4 จังหวัดเข้าด้วยกัน คือ นครปฐม นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี เรียกชุมชนนี้ว่า ชุมชนมอญกระทุ่มมืด
กล่าวถึงชุมชนมอญกระทุ่มมืด ในรัชสมัย สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ราษฎรไปบุกเบิกป่ากระทุ่มมืดจับจองเป็นที่ทำนาทำสวน พระพุทธศักราช 2440 คราครั้งนั้น ได้มีคนไทยเชื้อสายมอญมาจากบ้านเกาะ บ้านบางปลา บ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และจากอำเภอพระประแดง (เมืองนครเขื่อนขันธ์) จังหวัดสมุทรปราการมาจับจองพื้นที่ดินบริเวณป่ากระทุ่มมืด มีการขุดคลองขุนศรีเชื่อมคลองพระราชาพิมลที่ตำบลขุนศรี ซึ่งขณะนั้นขึ้นกับอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และคลองพระยาบันลือ ที่อำเภอลาดบัวหลวง หม่อมแช่ม กฤดากร ณ อยุธยา หม่อมในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ เป็นสุภาพสตรีมอญบ้านวัดเกาะบางปลาจังหวัดสมุทรสาคร ได้บริจาคทรัพย์เพื่อขุดคลองเชื่อมคลองขุนศรีกับคลองที่ลำลาดสวาย เพื่อประโยชน์ในการทำนาของคนมอญที่มาจับจองที่ดินในป่ากระทุ่มมืด และเรียกชื่อ คลองที่ท่านขุดไว้ว่า คลองหม่อมแช่ม นอกจากนี้ยังมีการขุด คลองหนึ่งและคลองสองแยกจากคลองหม่อมแช่ม ฝั่งเหนืออีกด้วย คลองหม่อมแช่มแยกกับคลองขุนศรี ที่ตำบลขุนศรี (อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรีในปัจจุบัน) ไปทางตะวันตกที่ลำลาดสวาย ตำบลบางภาษี อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
เมื่อมีการขุดคลองดังกล่าว การทำนาจึงได้ผลดี ชาวไทยเชื้อสายมอญได้เข้ามาจับจองที่ดินเพื่อเป็นที่ทำกินมากขึ้นจนเกิดเป็นชุมชนใหญ่ในบริเวณคลองหม่อมแช่ม คลองหนึ่ง และคลองสอง
ต่อมาได้มีครอบครัวชาวไทยเชื้อสายมอญบางส่วนจากริมฝั่งแม่น้ำ ทั้งจากนนทบุรีและปทุมธานี เช่น ชาวบ้านสามโคก ชาวบ้านบางหลวง ชาวบ้านบางเดื่อ ชาวบ้านน้ำวน ชาวบ้านบางพูน ชาวบ้านบางกระดี ชาวบ้านเกริน ชาวบ้านบางคูวัด ชาวบ้านบางตะไนย จังหวัดปทุมธานี ชาวบ้านตาล ชาวบ้านแหลม อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ได้อพยพเข้ามาจับจองที่ดินทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่รู้จักกันของคนในยุคนั้นว่า “ทุ่งตะวันตก” โดยชาวมอญที่ได้อพยพเข้ามาเป็นกลุ่มแรกๆ ได้จับจองที่ดินอาศัยอยู่ริมคลอง ที่ขุดใหม่ เชื่อมกับคลองบางหลวง เรียกกันว่า “คลองบางหลวงไหว้พระ” ตามชื่อของคลองบางหลวงเดิม และต่อมาชาวบ้านได้ร่วมกับทางราชการ ทำการขุดคลองขึ้นใหม่อีกหลายคลองเพื่อนำน้ำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคตลอดทั้งใช้ในการเกษตร และการคมนาคม จึงเกิดเป็นชุมชนต่าง ๆ ขึ้นตามลำดับ
สำหรับนามว่า “บัวทอง” นั้น ท่านเล่าว่า เดิมโยมบิดามีอาชีพค้าขายได้ล่องเรือมาทำการค้า ถึงบริเวณคลองบางบัวทอง เวลานั้น โยมมารดาก็ให้กำเนิดท่านพอดี จึงถือนิมิตหมาย สถานที่ที่ทำการค้า ไปเป็นชื่อของบุตรชายคนนี้ว่า “บัวทอง”
เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
เมื่อท่านเจริญอายุเข้าสู่ปีที่ 22 ได้มีศรัทธาบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบึงลาดสวาย ตำบลบางภาษี อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พุทธศักราช 2527 โดยมี พระสุเมธมุนี (ลำพวน ธมฺมธโร ป.ธ. 7) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิพัทธวิหารกิจ (สวงค์ ชาตวีโร) วัดบางขุนนนท์ กรุงเทพมหานคร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาประจักษ์ ธมฺมสาโร ป.ธ. 7 วัดบางขุนนนท์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมณฉายาว่า ถาวโร แปลว่า “ผู้มีความยั่งยืน”
กล่าวถึง ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านนั้น คือ พระสุเมธมุนี (ลำพวน ธมฺมธโร ป.ธ. 7) ในอดีต เคยอยู่จำพรรษา และดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดปรมัยยิกาวาส วรวิหาร ก่อนจะขอ ย้ายกลับไปครองวัดบึงลาดสวาย อันเป็นถิ่นมาตุภูมิของท่าน

อันว่าพระสุเมธมุนีรูปนี้ เป็นสัทธิวิหาริก ในพระเดชพระคุณ พระไตรสรณธัช (แสน โกลิโต) อดีตเจ้าอาวาส วัดปรมัยยิกาวาส วรวิหาร และ พระไตรสรณธัช รูปนี้ ก็เป็นสัทธิวิหาริก ใน พระเดชพระคุณ พระคุณวงษ์ (สน นาคสนฺโท) ปฐมเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ของวัดปรมัยยิกาวาส วรวิหาร อีกด้วย จึงกล่าวได้ว่า พระครูพิพิธเจติยาภิบาล เป็นผู้สืบเชื้อสาย ทางธรรม จากบูรพาจารย์วัดปรมัยยิกาวาส วรวิหารโดยแท้
การศึกษา หน้าที่ปกครอง และสมณศักดิ์
หลังจากที่ได้อุปสมบท และปฏิบัติหน้าที่อุปัชฌายวัตร เป็นเบื้องต้น และสำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมแล้ว ด้วยความจำเป็นที่จะต้องศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี ท่านจึงย้ายมาจำพรรษาที่ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร อันเป็นสำนักเรียน สำคัญ ของคณะสงฆ์ จังหวัดนครปฐม
ท่านได้ตั้งใจศึกษา พระปริยัติธรรม จนสำเร็จนักธรรมชั้นเอก ในแผนกธรรม จากสำนักเรียนวัดบึงลาดสวาย เมื่อพุทธศักราช 2524 ตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณร และสำเร็จเปรียญธรรม 5 ประโยค ในแผนกบาลี จากสำนักเรียนวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร เมื่อพุทธศักราช 2536 ด้านวิชาสามัญ ท่านได้สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน เมื่อพุทธศักราช 2534
ท่านได้รับความไว้วางใจจากคณะสงฆ์ ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อพุทธศักราช 2545 เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร เมื่อพุทธศักราช 2546เป็นเจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ เขต 1 เมื่อพุทธศักราช 2557 เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อพุทธศักราช 2558 และได้รับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช อนุวัตตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดปรมัยยิกาวาส วรวิหาร พุทธศักราช 2565
ด้านสมณศักดิ์ ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ในราชทินนามที่ พระครูพิพิธเจติยาภิบาล เมื่อพุทธศักราช 2547 ต่อมา ได้รับการเลื่อน เป็นพระครูผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นพิเศษ เมื่อพุทธศักราช 2553 และได้รับการปรับพัด เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นโท พุทธศักราช 2565
พระครูพิพิธเจติยาภิบาล จึงเป็นเจ้าอาวาสวัดปรมัยยิกาวาส วรวิหาร รูปปัจจุบัน ผู้สืบเชื้อสายทางธรรม จากบูรพาจารย์ของพระอารามแห่งนี้ นับเนื่อง ตั้งแต่การสถาปนาเป็นพระอารามหลวงจนถึงปัจจุบันเป็นรูปที่ 7



Leave a Reply