นัยยะทางการเมืองเรื่องสงฆ์ ระหว่างบรรทัดหนังสือ จาก “ทศชาติปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง”

วันที่ 18 สิงหาคม 2565 หลังจากรัฐบาล ภาคเอกชน ได้แถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “ทศชาติ: ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ฉบับญาณวชิระ” ได้สร้างความฮือฮาในกับคณะสงฆ์และชาวพุทธพอสมควร เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เขียนและเรียบเรียงโดยพระภิกษุคดีเงินทอนวัด การแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือฉบับนี้ส่งนัยอะไรต่อคณะสงฆ์และสังคมไทยหรือไม่ มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นา ๆ  หนึ่งในนั่นคือ เพจ “เดี๋ยวเขียนเอง” ซึ่งตั้งประเด็นว่า “นัยยะทางการเมืองเรื่องสงฆ์ ระหว่างบรรทัดหนังสือ “ทศชาติปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง”  มีรายละเอียดดังนี้

วันที่ 15 สิงหาที่ผ่านมา รัฐบาลโดย #นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวเปิดตัวหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ #ทศชาติปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง #ฉบับญาณวชิระ สำหรับวงการสงฆ์แล้วความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เพียงอยู่ที่สาระตามตัวอักษรที่เป็นเรื่องราว 10 ชาติ แห่งการบำเพ็ญบารมีของพระมหาโพธิสัตว์ก่อนจะประสูติในชาติสุดท้ายเป็น #เจ้าชายสิทธัตถะ และตรัสรู้เป็น #พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น หากยังอยู่ที่ความนัยระหว่างบรรทัดด้วย เพราะเมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่ามีการส่งสัญญาณออกมาอย่างชัดเจนว่าอธิกรณ์ของสงฆ์ควรปล่อยให้คณะสงฆ์ดำเนินการไปตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่การนำกฎหมายบ้านเมืองไปหักล้างพระธรรมวินัย

ความนัยของหนังสือเล่มนี้ซ่อนอยู่ที่คำสร้อยที่ต่อท้ายชื่อหนังสือว่า  “#ฉบับญาณวชิระ” และรายชื่อคณะผู้เรียบเรียงซึ่งประกอบไปด้วย #พระธงชัย สุขญาโณ (อดีต #พระพรหมสิทธิ) #พระมหาสังคม ญาณวฑฺฒโน (อดีต #พระราชอุปเสณาภรณ์) #พระมหาเทอด ญาณวชิโร (อดีต #พระราชกิจจาภรณ์) #พระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส (อดีต #พระศรีคุณาภรณ์) #พระมหาสมจิตร จิตฺตธมฺโม (#พระครูสิริวิหารการ) ทั้ง 5 ท่านเป็นพระมหาเถระแห่งวัดสระเกศราชวรมหาวิหารที่ในปี 2561 ถูกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติร้องทุกข์กล่าวโทษว่ากระทำการทุจริตในการจัดสรรงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่าคดี #เงินทอนวัด และ #ความผิดฐานฟอกเงิน จนมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาถอดถอนสมณศักดิ์ และทำให้ทั้ง 5 ท่านต้องไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในเรือนจำ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากการครองจีวรมาสวมใส่เสื้อผ้าตามแบบฆราวาส เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบบ้านเมืองที่กำหนดว่าพระสงฆ์ที่ต้องคดีอาญาและไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างถูกดำเนินคดีจะไม่สามารถห่มจีวรได้

ระหว่างบรรทัดของหนังสือทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง จึงเกี่ยวข้องกับอธิกรณ์ว่าด้วยความเป็นพระหรือไม่เป็นพระของทั้ง 5 ท่านนั้น ทั้งนี้เมื่อคดีทางโลกทั้ง 3 คดีที่ทั้ง 5 ท่านถูกกล่าวหามีการคลี่คลาย (รายละเอียดคดีด้านล่าง)  และศาลอนุญาตให้ประกันตัวทั้งหมด (รวมทั้งพระเถระแห่ง #วัดสามพระยา อีก 2 ท่านที่โดนคดีร่วมกัน) พระเถระแห่ง #วัดสระเกศ ทั้ง 5 ท่านได้ทำพิธีกลับครองจีวรในวันที่ 13 เมษายน ปี 2564 เพราะถือว่าการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเมื่อครั้งต้องคดีไม่ได้มีการกล่าวคำลาสิกขา อีกทั้งไม่ได้มีการถูกเจ้าพนักงานเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่บังคับให้ลาจากสมณเพศ ตามที่ระบุในมาตรา 29 และ 30 แห่ง พ.ร.บ. #คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2561) หากเป็นการอนุวัตตามระเบียบบ้านเมือง และยังทำให้เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำไม่ต้องลำบากใจ  แต่ #สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ #มหาเถรสมาคม กลับมองว่าการเปลื้องจากจีวรในครั้งนั้นคือการสิ้นสุดความเป็นพระ และพยายามจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการปราบปราม เข้ามาดำเนินการต่อการกลับครองจีวรของทั้ง 5 ท่าน ความขัดแย้งในการตีความสถานะความเป็นพระของทั้ง 5 ท่านนี้ นำสู่การขยายประเด็นว่าอธิกรณ์สงฆ์ควรปล่อยให้ดำเนินไปตามพระธรรมวินัย ในที่นี้คืออธิกรณ์ว่าด้วยทั้ง 5 ท่าน ยังคงความเป็นพระหรือไม่ก็ควรให้คณะสงฆ์ดำเนินการตามพระธรรมวินัย ซึ่งคณะสงฆ์แห่งวัดสระเกศและพระสังฆาธิการต่างวัดร่วมกันดำเนินการรับเข้าหมู่แล้ว หรือควรปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมืองที่ในที่นี้คือการตีความมาตรา 29 และ 30 ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ด้วยวิธีและกระบวนการคิดแบบฆราวาส ว่าการถอดจีวรคือการสิ้นสุดความเป็นพระ

ในการทำหนังสือหนังสือทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ฉบับญาณวชิระ ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลโดยสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักพระราชวังจัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 คณะพระสงฆ์ทั้ง 5 คือพระธงชัย สุขญาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ) พระมหาสังคม ญาณวฑฺฒโน (อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์) พระมหาเทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) พระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส (อดีตพระศรีคุณาภรณ์) พระมหาสมจิตร จิตฺตธมฺโม (พระครูสิริวิหารการ) ติดต่อกับสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักพระราชวังในสถานะของพระสงฆ์มาโดยตลอด อีกทั้งในรายชื่อผู้จัดทำที่ปรากฏในหนังสือก็ระบุชัดถึงสถานะการเป็นพระ แสดงให้เห็นถึงนัยที่ซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ว่าสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักพระราชวังส่งสัญญาณอย่างว่ายอมรับสถานะความเป็นพระของทั้ง 5 ท่าน ซึ่งหากขยายการตีความขึ้นมาก็จะเข้าใจได้ว่าหน่วยงานทั้งสองกำลังสื่อว่าหากมีอธิกรณ์ของสงฆ์ควรปล่อยให้ดำเนินการไปตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่การนำกฎหมายบ้านเมืองไปหักล้างพระธรรมวินัยซี่งเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญของสงฆ์ สิ่งที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติควรต้องทำในการเฉพาะหน้าของอธิกรณ์นี้คือต้องยุติความพยายามหักล้างว่าท่านเหล่านั้นไม่ใช่พระ และรีบคืนความยุติธรรมด้วยการถวายคืนสมณศักดิ์ให้กับทั้ง 5 ท่าน และสิ่งที่ควรต้องทำในระยะยาวคือการตระหนักเสมอว่าเมื่อเกิดอธิกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสมณเพศ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งประกอบด้วยฆราวาสควรปล่อยให้อธิกรณ์นั้นอยู่การบริหารจัดการของคณะสงฆ์ที่จักต้องดำเนินไปตามกรอบแห่งพระธรรมวินัย ผู้สนใจหนังสือทศชาติ ฉบับญาณวชิระ สามารถขอรับได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐนตรี และสามารถดาวน์โหลด E-book ได้ที่ https://www.opm.go.th/…/multimedia/2022/project/index.html

รายละเอียดและความคืบหน้าคดีคดีที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ทั้ง 5 ท่านของวัดสระเกศฯ มี 3 คดี

 #คดีที่ 1 พระมหาสังคม ญาณวฑฺฒโน (อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์) และ พระมหาเทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกระทำการทุจริตเงินงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในโครงการโรงเรียนพระปริยัติธรรม จำนวน 10 ล้านบาท คดีนี้ถึงที่สุดแล้วในศาลอุทธรณ์โดย #ศาลสั่งยกฟ้อง เพราะ #ไม่มีหลักฐานว่าทั้ง 2 ท่าน #กระทำการทุจริต คำตัดสินนี้ทำให้พระมหาสังคม ญาณวฑฺฒโน (อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์) ซึ่งถูกกล่าวในคดีนี้คดีเดียว #เป็นผู้บริสุทธิ์ทันทีหลังถูกคุมขังมานาน 450 วัน

 #คดีที่ 2 พระธงชัย สุขญาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ) ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับนายพนม ศรศิลป์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวกซึ่งเป็นฆราวาส ร่วมกันฟอกเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา และโครงการของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงฯ ของวัดสระเกศ โดยพระธงชัย สุขญาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ) ตกเป็นจำเลยที่ 5 ถูกฟ้องในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ว่าไม่มีความผิดในคดีทุจริตเพราะไม่พบหลักฐานที่ฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 5 เบียดบังนำงบประมาณไปเป็นของตนเอง ขณะเดียวกันมีหลักฐานที่ฟังได้ว่างบประมาณดังกล่าวถูกใช้ไปเพื่อกิจกรรมด้านศาสนาแล้ว ศาลจึงมีคำสั่งว่าจำเลยไม่ต้องร่วมกันคืนเงินตามที่ระบุในคำฟ้อง อย่างไรก็ดีในคดีนี้ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 – 4 ซึ่งเป็นพนักงานของรัฐ มีความผิดตรามมาตรา 157 มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  และพระธงชัย สุขญาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ) ถูกพิพากษาให้มีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำผิดในมาตรา 157 ของจำเลยทั้ง 4 ศาลสั่งจำคุกท่านเป็นเวลา 36 ปี ปรับ 27,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี คดีนี้พระธงชัย สุขญาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ) ได้ยื่นฎีกา รอกระบวนการในชั้นศาลฎีกาต่อไป

 #คดีที่ 3 พระธงชัย สุขญาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ) พระมหาเทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) พระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส (อดีตพระศรีคุณาภรณ์) พระมหาสมจิตร จิตฺตธมฺโม (พระครูสิริวิหารการ) ถูกพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 2 ฟ้องในข้อหาฟอกเงินและร่วมกันทุจริตเงินทอนวัดในส่วนโครงการศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นคดีที่ต่อเนื่องมากจากคดีที่ 2 แต่ถูกพิจารณาก่อนคดีที่ 2 โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้พระธงชัย สุขญาโณ (อดีตพระพรหมสิทธิ) รับโทษจำคุกเป็นเวลา 4 ปี 16 เดือน ปรับ 112,000 บาท และพระมหาเทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) พระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส (อดีตพระศรีคุณาภรณ์) พระมหาสมจิตร จิตฺตธมฺโม (อดีตพระครูสิริวิหารการ) จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 56,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ซึ่งจำเลยได้ยื่นขออุทธรณ์ คดีจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลได้มีการเลื่อนการพิจารณาคดีมาเกือบ 2 ปีแล้ว

Leave a Reply