“อำเภอหันคา”จังหวัดชัยนาทเป็นหนึ่งในสิบที่กระทรวงมหาดไทยคัดเลือกให้เป็นอำเภอนำร่องเพื่อเป็นแบบอย่างในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการและสร้างนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมไทยโดยการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นตัวขับเคลื่อนแบบร่วมกับ 7 ภาคีเครือข่าย
อำเภอหันคา เดิมชื่อว่า อำเภอบ้านเชี่ยน ตั้งที่ว่าการอำเภออยู่ที่ตำบลบ้านเชี่ยน ต่อมาในปี พ.ศ. 2470 ได้ย้ายมาตั้งที่แห่งใหม่ ณ ตลาดหันคา จึงเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอหันคา เหตุที่เรียกว่า “หันคา” มีที่มาประการแรก คือ มีตำนานเล่าว่ามีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์มาล่มขวางลำน้ำในลักษณะหันและคาตรงบริเวณท่าบ้านหลวงซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอ และประการที่สองมาจากคำว่า “ลานคา” ตามลักษณะพื้นที่ซึ่งแต่เดิมนั้นเป็นที่ราบกว้าง มีหญ้าคาขึ้นปกคลุมโดยทั่วไป ลักษณะภูมิประเทศเกือบทั้งร้อยเป็นที่ราบลุ่ม มีเพียงเนินเขาปรากฏอยู่ไม่กี่แห่ง

“อำเภอหันหา” เป็นอำเภอสุดท้ายใน 10 อำเภอนำร่องที่ “ทีมข่าวพิเศษ” ลงพื้นที่พูดคุยกับนายอำเภอในฐานะ “ผู้นำแห่งการเปลี่ยน” ในระดับพื้นที่ และภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีที่รวมกันเป็นพลังประเภท “ระเบิดจากภายใน” ร่วมกันขับเคลื่อนนำพาอำเภอหันคาให้เป็นอำเภอนำร่อง เป็นอำเภอแห่งความสุข ภายใต้สโลแกนว่าทำ “มัน” ให้มีรอยยิ้ม
“อดิศร เกิดโต” นายอำเภอหันคา พร้อมกับภาคีเครือข่ายทั้งพระสงฆ์ นายก อบต. ผู้ใหญ่บ้าน ภาคเอกชน รวมทั้งประชาชน กลุ่มหนึ่งรอนั่งคุยกับทีมงานเราอยู่ ณ ศูนย์เรียนรู้การแปรรูปสินค้าเกษตร ซึ่งเท่าที่สังเกตแปลงแห่งนี้มีหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมสนับสนุน ในขณะที่นายอำเภอหันคา เล่าความเป็นมาของการเป็นอำเภอนำร่อง “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” และการทำกิจกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ว่า

ตอนที่กระทรวงมหาดไทย มีโครงการอำเภอนำร่องบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ทางอำเภอก็ได้ส่งผลงานเพื่อไปคัดเลือกระดับจังหวัดและได้เป็นตัวแทนจังหวัด ในระดับเขต ซึ่งต่อมาก็ได้รับให้เป็น 1 ใน 10 อำเภอนำร่องจากกระทรวงมหาดไทย โครงการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยอยู่แล้ว ตอนที่ไปอบรมพร้อมกับทีมภาคีเครือข่าย 10 คน ปรึกษากันว่าอำเภอหันหามีปัญหาอะไรที่จะต้องแก้ไขให้เร็วที่สุด ซึ่งเรามีความคิดตรงกันว่าคือปัญหาเรื่องรายได้ การพัฒนาคุณภาพชีวิตซึ่งขอบเขตมันกว้าง แล้วเราจะช่วยแก้ไขในเรื่องใดก่อน เพราะระยะเวลาที่กระทรวงกำหนดไว้น้อย จึงคิดถึงเกษตรกรก่อน เพราะผลผลิตที่เกษตรกรได้ พวกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมในการกำหนดราคาซื้อขายเลย จึงตั้งโครงการทำ “มัน” ให้มีรอยยิ้ม มันในที่นี้คือ มันสำปะหลัง จึงได้คิดวิธีการลดต้นทุนโดยการทำโครงการ ทำ “มัน” ให้มีรอยยิ้มขึ้น 4 กิจกรรม คือ

กิจกรรมที่ 1 ส่งเสริมให้มีการผลิตถ่านหุงต้มและถ่านอัดแท่งคุณภาพสูงจากเหง้ามันสำปะหลังและวัสดุเหลือใช้ในการเกษตรอื่น ๆในพื้นที่ นอกจากจะเอาเหง้ามันมาผลิตเป็นถ่านแล้ว ยังเอาซังข้าวโพด ผักตบชวามาผลิตเป็นถ่านได้ด้วยเป็นถ่านที่ติดทนนานไม่แตกปะทุให้ไฟสม่ำเสมอไร้สารก่อมะเร็งในร่างกายซึ่งได้ทำเป็นผลลิตภัณฑ์ของอำเภอวางจำหน่ายแล้วชื่อว่า “หันคาชาร์โคลฟิล” กิจกรรมที่ 2 เป็นการจัดตั้งแปลงปลูกข้าวต้นแบบ และปลูกมันสำปะหลังต้นแบบโดยใช้เกษตรอินทรีย์ในการลดต้นทุนการผลิตและใช้โคก หนอง นาโมเดล ในการเพิ่มผลผลิตน้อมนำหลักทฤษฎีของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาผสมผสาน โครงการนี้เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพี่น้องเกษตรกร เราจึงทำแปลงมันสำปะหลังตัวอย่างขึ้นมาในศูนย์เรียนรู้โดยใช้เกษตรอินทรีย์ในเนื้อที่ 50 ไร่ ตอนนี้อยู่ระหว่างการทดลองแปลงมันสำปะหลังอยู่ แต่แปลงข้าวเราทำสำเร็จแล้วสามารถลดต้นทุนได้จากเดิมไร่ละ 4,000-5,000 บาท เหลือไร่ละ 500 บาท และใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นศูนย์เรียนรู้ของทั้ง 8 ตำบล 100 หมู่บ้าน ตอนนี้ได้แกนนำของหมู่บ้านละ 8 คน ทั้งอำเภอรวม 1,277คน กิจกรรมที่ 3 ส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์ โดยใช้ส่วนผสมจากใบมันสำปะหลังและวัตถุดิบทางการเกษตรอื่น ๆ ในพื้นที่ กิจกรรมที่ 3 นี้เป็นการร่วมมือระหว่างราชการกับเอกชนในพื้นที่ เป็นผู้ประกอบการรับซื้อมันสำปะหลังที่ติดอันดับ1ใน 10 ของประเทศ ตอนนี้ในการรับซื้อหากเป็นใบตากแห้งในราคาตันละ 3,000 บาท ใบ กิ่ง ก้าน และยอดลงมา1ฟุตในราคาตันละ 600 บาท เหง้ามันสำปะหลังราคาตันละ 400 บาท และ กิจกรรมที่ 4 ส่งเสริมพัฒนาให้อำเภอหันคาเป็นอำเภอพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรอินทรีย์ภายในปี 2567 เป็นกิจกรรมที่การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ของอำเภอสร้างแกนนำเครือข่ายการขับเคลื่อนและขยายผลมีการจัดตั้งธนาคารจุลินทรีย์และน้ำหมัก ดังนั้นจึงจัดตั้งธนาคารจุลินทรีย์น้ำหมักขึ้นมาและใครที่ต้องการใช้ก็สามารถมาเบิกที่นี่ไปใช้ก่อนได้ในช่วงแรกและขยายผลไปยังทุก อบต.และเทศบาล เพื่อขยายศูนย์ให้พี่น้องเกษตรกรเข้าถึงได้ง่าย
“การเป็นอำเภอนำร่องผมมองว่าเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากมีกิจกรรมเยอะ ต้องอาศัยคนที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยขับเคลื่อน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ภาคเอกชน ภาคีเครือข่ายให้เกิดผลสำเร็จ เราได้พยายามวางแผน และจัดการประชุมติดตามทุกเดือน แต่เมื่อเป็นโครงการ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขกิจกรรมอำเภอนำร่องก็ไม่ได้ทิ้ง เรานำเอาโครงการ ทำ “มัน” ให้มีรอยยิ้มเอามาอยู่ในกิจกรรม ทำหันคาให้มีรอยยิ้ม เราวางระบบขับเคลื่อนในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนารายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต การแก้ไขปัญหาเรื่องยาเสพติด การพัฒนาแหล่งน้ำชลประทาน การดูแลปัญหาภัยพิบัติ การศึกษา ทุกครั้งที่เกิดปัญหาทุกคนจะดำเนินการตามระบบที่วางไว้ ”

นอกจากกิจกรรมเหล่านี้แล้ว “นายอำเภอ” ยังได้เล่าต่อถึงการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่โดยเฉพาะการสร้างและซ่อมแซมบ้านให้กับประชาชนที่เข้าข่ายว่ายากจนถึง 91 หลังคาเรือน และหางบประมาณในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนเป็นอำเภอนำร่องร่วมกับภาคีเครือข่ายกว่า 4 ล้านบาท โดยเฉพาะคณะสงฆ์ได้เข้ามาเติมเต็มเรื่องด้านสาธารณสงเคราะห์ได้มากโดยเฉพาะ พระมงคลกิจโกศล หรือ หลวงปู่ฤาษีตาไฟ รองเจ้าคณะจังหวัดชัยนาท และเจ้าอาวาส วัดเทพหิรัญย์ อำเภอหันคา และ “เจ้าคณะอำเภอหันคา” พระมหาวิสัน จนฺทโชโต เจ้าอาวาสวัดทับขี้เหล็ก ที่ร่วมทีมกับนายอำเภอไปอบรมที่ศูนย์ตลอด 4 คืน 5 วันด้วย
“พระมหาวิสัน จนฺทโชโต” เจ้าคณะอำเภอหันคา ซึ่งได้เมตตามาร่วมพูดคุยกับทีมงานด้วยเล่าว่า นายอำเภอและเครือข่ายไปหาหลายครั้ง บอกว่าจะทำโครงการที่จะช่วยเหลือประชาชน ตอนแรกก็ยังเฉย ๆ อยู่ เพราะจะทำจริงหรือไม่จริงก็ยังไม่รู้เลย สังเกตอยู่ระยะหนึ่งเห็นว่านายอำเภอและเครือข่ายได้ทุ่มเทอย่างจริงจัง สิ่งที่ได้ทำนั้นเกิดประโยชน์กับชาวบ้านอย่างแท้จริง เราในฐานะพระก็รู้สึกเห็นด้วย จึงเริ่มที่จะร่วมมือด้วย และมีโอกาสได้ไปเข้าอบรม จึงรู้เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ป่าก็มีประโยชน์เยอะ ประชาชนทั่วไปไม่ค่อยเห็นคุณค่าของธรรมชาติเหล่านี้ ทำเกษตรแต่เป็นหนี้ เนื่องจากราคาข้าวถูกลง แต่ราคาปุ๋ยและต้นทุนด้านวัสดุอุปกรณ์มีราคาสูงขึ้น รายได้ที่ได้มาก็ไม่พอใช้ จึงให้ความร่วมมือกับนายอำเภอและเครือข่ายในการประสานงาน แนะนำและพยายามเปลี่ยนแนวคิดของชาวบ้านให้เข้าร่วมโครงการกับนายอำเภอและเครือข่าย ในฐานะที่เป็นเจ้าคณะอำเภอก็ได้ให้ท่านเจ้าอาวาสแต่ละวัดช่วยประชาสัมพันธ์เผยแพร่กับชาวบ้านเข้าร่วมโครงการ ทางพระเราก็ช่วยแนะนำได้อย่างนี้ และพูดอยู่เสมอว่า ใครที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ถือเป็นความโชคดี เราไม่ได้ทำคนเดียว ถ้าทำคนเดียวอาจไปไม่รอด แต่หากมีเครือข่ายก็ไปรอด เพราะมีเครือข่ายที่คอยให้ความรู้ ให้คำแนะนำ หากเจอปัญหาก็มีคนคอยช่วยเหลือ คอยให้การแก้ไข

“รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้าน โครงการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข จะสามารถลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ช่วยลดค่าครองชีพ เห็นประโยชน์และคุณค่าจากธรรมชาติเอามาช่วยได้ เช่น การเผาถ่าน การทำอาหารสัตว์จากใบมันสำปะหลัง สิ่งใกล้ตัวเอามาสร้างรายได้ แทนที่จะทิ้งไปเปล่าๆ กว่าจะยอมมาเข้าร่วมได้ก็ศึกษาข้อมูลมาระยะหนึ่งและเห็นว่าทั้งนายอำเภอและเครือข่ายทำจริงจังและมีความเข้มแข็ง การทำงานมีขั้นตอน ขบวนการ ช่วยให้มีชีวิตความเป้นอยู่ที่ดีขึ้น พวกชาวบ้านก็มีความภาคภูมิใจ นอกจากนี้คณะสงฆ์ในอำเภอหันคาก็ช่วยทอดผ้าป่าหาระดมทุนขั้นแรกคือช่วยสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือนให้กับประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วน ขั้นตอนที่สองคือการพัฒนาอาชีพให้ดีขึ้น เพื่อเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอนนี้ในส่วนของอาตมาและคณะสงฆ์อำเภอหันคาเข้ามาช่วยเหลือนายอำเภอเต็มที่ เพราะเห็นว่าท่านทำจริง ประชาชนได้ประโยชน์จริง สมกับเป็นนายอำเภอนำร่อง”
“ทรงศักดิ์ โภคทรัพย์เขียวขำ” พัฒนาการอำเภอหันคาให้ข้อมูลว่าในจังหวัดชัยนาทมีแปลงโคก หนอง นา ทั้งหมด 289 แปลง ในจำนวนนี้มีทั้งแปลงขนาด 3 ไร่และ 1 ไร่ ในส่วนของอำเภอหันคา มี 62 แปลง ซึ่งคุณขวัญชัย แตงทองก็เป็นหนึ่งในจำนวน 62 แปลงที่เข้าร่วมด้วย สำหรับคุณขวัญชัย ท่านทำมานานแล้วเป็นศูนย์เรียนรู้และเป็นครูพาทำให้กับกรมการพัฒนาชุมชนด้วย

“ขวัญชัย แตงทอง” หมู่ 9 ตำบลสามง่ามท่าโบสถ์ อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ซึ่งเท่าที่สังเกตแปลงศูนย์เรียนรู้แห่งนี้มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาร่วมสนับสนุนหลายหน่วยงานแสดงถึงว่าเป็นคนทำจริงและเท่าที่สังเกตดูการทำเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจทั่วบริเวณบนเนื้อที่ 18 ไร่ มีฐานหลายฐานทั้งฐานน้ำหมัก ฐานการเรียนรู้ดินและปุ๋ย ฐานเรียนรู้เรื่องข้าว รางปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ที่ควบคุมด้วยระบบมือถือที่เรียกว่า “ระบบอัจฉริยะ” ในแปลงโคก หนอง นา ขนาด 1 ไร่มีการปลูกหญ้าแฝกไว้รอบ ๆ มีการเลี้ยงปลาหลายชนิด มีทั้งสวนส้มโอขาวแตงกวาชัยนาทที่กำลังออกดอกสะพรั่งในขณะที่บางต้นมีผลแล้วก็มี ตามต้นส้มโอมีขวดน้ำเปล่าแควนไว้ เพื่อล่อแมลงเต่าทองที่มาเจาะผลส้มโออ่อน พร้อมกับเดินไปคุยไปว่า

“สนใจทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงมานานมากแล้วเกือบ 25ปี เห็นจะได้ ทำมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ เดิมเป็นคนสุพรรณบุรีและได้ย้ายถิ่นฐานมาอยุ่ที่นี่และทำอาชีพเกษตรมาตั้งแต่กำเนิด แต่ก่อนปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำนาอย่างเดียว จำภาพจากพ่อแม่มา มีรายได้ทางเดียว ทำให้เราอยู่ไม่ได้ เราต้องหาวิธีทำอย่างไรให้เราอยู่รอด ก็คือเข้าสู่ขบวนการอบรมที่ศูนย์ของอาจารย์ยักษ์ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร เรานำหลักกสิกรรมธรรมชาติมาปรับใช้ในพื้นที่ ตามภูมิสังคม จนถึงปัจจุบันนี้ทำให้เรามีกินมีใช้ตามหลักบันได 9 ขั้นของในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่อย่างมีความสุข ทุกวันนี้เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ ในเดือนหนึ่งมีคนเข้ามาดูงานไม่ต่ำกว่า 400คนเข้ามาเรียนรู้ มีฐาน 12 ฐาน ผมเป็นวิทยากรและมีเครือข่ายที่เป็นวิทยากรร่วมด้วย เป็นครูพาทำ ทาง พช. เข้ามาช่วยสนับสนุนโดยนำความรู้ทางวิชาการมาจัดกิจกรรมในการสอนขบวนการเรียนรู้ ได้เข้าร่วมอบรมกับภาคีเครือข่าย ทุกวันนี้ก็ขับเคลื่อนร่วมกับนายอำเภอ ฝึกการทำปุ๋ยหมัก การแปรรูปอาหารเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร ซึ่งการได้เป็นอำเภอนำร่องเราก็ดีใจและภูมิใจ ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมตรงนี้ด้วย..”
ก่อนกลับ “นายอำเภอ” แนะนำให้รู้จัก “น้องซน” น.ส.มันตา วุฒิสถิตถาวร ดีกรีรัฐศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคีเครือข่ายภาคเอกชนคนสำคัญของอำเภอหันคา ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท สิริสถิตถาวร หรือ ไร่อัญชนา ที่รับซื้อมันสำปะหลังจากชาวบ้านแล้วนำไปแปรรูปเป็นถ่าน พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จากชาวบ้านที่นายอำเภอบอกว่าเป็นคนใจบุญมาก นอกจากช่วยเหลือชาวบ้านแล้วยังจะถวายน้ำปานะให้กับพระคุณเจ้าทุกวัน

“น้องซน”เล่าให้กับทีมงานตอนหนึ่งเมื่อถูกถามว่าเข้าร่วมเป็นทีมนายอำเภอได้อย่างไร และได้ช่วยเหลือชาวบ้านอย่างไรบ้าง ว่า ตอนแรกเห็นนายอำเภอได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เห็นถึงความตั้งใจของท่าน ท่านก็ได้เข้ามาชักชวนให้เข้าอบรมโครงการอำเภอนำร่อง ตอนอบรมได้ร่วมกันทำ workshop จึงได้เห็นว่ามันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจของอำเภอหันคา และมันมีปัญหามากที่สุดในบรรดาปัญหาคือ หนี้ครัวเรือน เข้ามาช่วยโดยไม่ได้มองถึงเรื่องธุรกิจเลย แต่ตอนคิดเงินให้กับเกษตรกรทำให้เห็นว่ามันติดลบเยอะ จึงอยากหาหนทางช่วยเหลือพวกเขา เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้ปลูกแล้วได้ผลผลิตต่ำมาก เมื่อโครงการนี้เข้ามาก็ช่วยเรื่องเพิ่มผลผลิตด้วย เมื่อสามารถเพิ่มผลผลิตได้ก็ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มันสำปะหลังนี้เป็นพืชที่พึ่งพิงกับราคานอก เราไม่สามารถกำหนดราคามันสำปะหลังได้เองในการขาย หากเราสามารถเพิ่มคุณภาพมันให้ดีขึ้น จุดนี้จะช่วยเกษตรกรได้จริง ๆ “นอกจากรับซื้อมันสำปะหลังแล้ว ตอนนี้ก็ยังรับซื้อเหง้ามัน และใบมันสำปะหลังอีกด้วย ตัวเหง้ามันนำไปอบทำเชื้อเพลิง และอบใบมันเพื่อนำไปทำอาหารสัตว์ต่อ ตลาดมีความต้องการใบมันอยู่แล้ว เนื่องจากใบมันมีโปรตีนสูง เมื่อเห็นพี่น้องเกษตรกรมีรายได้มากขึ้นจากตรงนี้ก็ทำให้เรามีความสุข เพราะเราอยากช่วยให้พวกเขามีรายได้ที่มากขึ้น เหง้ามันและใบมันอาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องการเพิ่มรายได้มากขึ้นนัก แต่อย่างน้อยก็พอเป็นค่าอาหารได้บ้าง.”


Leave a Reply