“เพชรวรรต”เพื่อไทยฮึ่มใส่ “บิ๊กตู่” หันมาดูแลศาสนาพุทธบ้าง อย่าสนใจแต่ต่างศาสนา

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร และว่าที่ผู้สมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวชี้แจงว่าจากการเดินทางไปเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1444 เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่าประเทศไทยเรามีศาสนาหลักอยู่ 5 ศาสนา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องดูแลทุกศาสนาให้อยู่กันอย่างสันติสุข เพราะทุกศาสนาก็มีส่วนที่ดีอยู่แล้ว ทำให้สังคมมีความสุขอยู่กันอย่างพหุวัฒนธรรม แต่ก็ยังมีหลายคนไปพูดว่าช่วงนี้ตนไปงานที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามบ่อยๆ คงจะไปเป็นสมาชิกของเขาไปแล้ว ไปพูดอย่างนี้ไม่ได้ ทำให้เสียหายกับประเทศ และได้ยืนยันว่านับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่เกิดตั้งแต่ปู่ย่าตายาย พ่อ แม่ ภรรยา ลูก ก็นับถือศาสนาพุทธ และยังพยายามมีการไปบิดเบือนในสังคมโซเชียล จึงขอยืนยัน แต่ผมเคารพในทุกศาสนาของแต่ละคน เราต้องเคารพซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง ผมให้เกียรติกับทุกคน และวันเดียวกันนี้จะมีอีกหนึ่งคณะที่เดินทางมาจากภาคใต้มาพบผม เดี๋ยวก็จะไปพูดกันอีกว่านายกฯจะเปลี่ยนศาสนาซะอีกแล้ว ก็ขอร้องสื่ออย่าไปขยายความให้กับเรื่องเหล่านี้

นายเพชรวรรต กล่าวว่าจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามอธิบายมานั้น ชาวบ้านเขาได้มาไถ่ถามตนจริงๆ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนศาสนาจากศาสนาพุทธไปแล้วจริงหรือไม่ เพราะงานด้านศาสนาโดยเฉพาะวันสำคัญทางพุทธศาสนาก็ไม่ค่อยจะเห็นไปร่วมกิจกรรมของพุทธศาสนาสักเท่าใด กรณีคืนสมณศักดิ์ “พระพรหมดิลก” ที่ต้นเหตุเกิดจากการแต่งตั้งบุคคลที่อยู่ในคนละเส้นทางกับการบริหารงานพระพุทธศาสนา เข้ามาดำเนินการโดยใช้ ม.44 ก็ไม่เห็นจะเข้ามารับผิดชอบหรือขอขมาใดๆ ต่อ “พระพรหมดิลก” รวมถึงพระเถระรูปอื่นๆ

นายเพชรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่าในอีกหลายกรณีที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพุทธศาสนา ไม่ว่าจะการเสนอ พ.ร.บ. 3 ฉบับที่เสนอโดย ม.ร.ว.จิราคม กิติยากร โดยได้พิจารณาผ่านกรรมาธิการ ได้เสนอต่อสภาแต่ก็ถูกตีตกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น 1.) ร่างพ.ร.บ.การบริหารองค์กรพุทธศาสนา 2.) ร่าง พ.ร.บ.ธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย 3.) ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการสังเวชนียสถานสำหรับงบประมาณโควิด19ที่จะช่วยเหลือพระสงฆ์ โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็ละเลยเพิกเฉย งบประมาณพระปริยัติธรรมก็ถูกดองและไม่มีผลอย่างใดเลย การผลักดันวัดที่อยู่ในป่าให้ถูกต้องตามกฎหมายก็ล่าช้าผิดปกติ การจัดสรรงบประมาณให้สำนักพุทธก็ลดลงมาหลายปี ฯลฯ

นายเพชรวรรต กล่าวต่อไปอีกว่าหากตนจะเล่าไปอีกก็คงมีมากกว่าหนึ่งร้อยเรื่อง ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เพิกเฉย งดเว้น ไม่ปฏิบัติ ตามสมควรต่ออำนาจหน้าที่ที่พึงกระทำในการอุปถัมภ์คุ้มครองต่อสถาบันหลักของชาติโดยเฉพาะสถาบันพุทธศาสนา ซึ่งตนเห็นแล้วเศร้าใจแทนพุทธศาสนาที่พระมหากษัตริย์ในอดีตทุกๆ พระองค์ทรงเป็นองค์พุทธมามกะ หมายถึง ผู้ประกาศตนว่าขอถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ แต่สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ จะมีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะหรือไม่นั้น จากที่ฟังจากชาวบ้านทำให้ตนยังไม่ค่อยเชื่อ หากงานที่ดูแลพระพุทธศาสนาที่มีประชาชนถึง 95 % นับถือพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทำ หากพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล ตนขอเสนอให้พรรคเพื่อไทยมาทำแทน

Leave a Reply