เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 ดร.นิยม เวชกามา อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 2 จังหวัดสกลนคร ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า ขณะที่ผมเข้าร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563-2565 ที่จัดโดยสมาคมแห่งสถาบันพัฒนาการเมือง การเลือกตั้ง ณ.โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนซันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ได้มีพี่น้องพุทธศาสนิกชน เข้ามาถามความเห็นผมถึงทิศทางของการปกป้องส่งเสริมพระพุทธศาสนาจะไปในทิศทางใดในรัฐบาลใหม่ เพราะเห็นข่าวพาดพิงพระพุทธศาสนา จากทั้งอดีตส.ส. และว่าที่ส.ส.จากพรรคเสียงข้างมากทึ่คิดว่าพรรคของตนจะได้จัดตั้งรัฐบาล จึงออกมาดร่าม่ากันใหญ่
“ผมติดตามข่าวมาตลอด ในฐานะที่ผมเคยพูดกับพี่น้องพุทธศาสนิกชนเสมอมาว่า ชีวิตที่เหลือผมจะปกป้องพระพุทธาสนา ผมขอไล่เรียงจากในกรณีล่าสุ ที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลออกมาต่อว่านางกณิกนันต์ ล้อสีทอง รองผอ.สำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติ โดยอ้างว่ามีการพาดพิงถึงการที่มีพรรคการเมืองเสนอตัดงบประมาณสำนักพุทธฯ ซึ่งจากการเฝ้าสังเกตการณ์ อาจจะออกมาเป็นรูปแบบนั้นจริงๆ เพราะเรื่องแบบนี้การมีหลักฐานก็เป็นส่วนหนึ่ง
ผมเคยเป็นเลขาธิการฯกรรมาธิการติดตามงบประมาณ ผมก็เห็นสำนักพุทธฯถูกตัดงบทุกปี แต่เรื่องพฤติกรรมนี้ บ่งบอกทัศนคติในเชิงลบที่มีต่อพระพุทธศาสนาที่พรรคก้าวไกลได้แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างชัดเจน และเรื่องนี้ผมยังขอตำหนิไปถึงผอ.สำนักพุทธศาสนาอีกด้วยซ้ำว่า ไม่ออกมาปกป้องคนในองค์กรของตนเอง ทั้งๆที่ องค์กรพุทธกำลังถูกบั่นทอนเสียด้วยซ้ำถ้าวันหนึ่งถูกตัดงบแล้วไม่ปกป้องมีปากมีเสียง การพัฒนาส่งเสริมพระพุทธศาสนาจะเสื่อมถอยไปอย่างไร ซึ่งการที่รอง ผอ.ฯ ออกมาบอกพรรคเสียงข้างมากไม่อุดหนุนศาสนา ผมว่าเป็นความกล้าหาญพูดกันตรงๆในสิ่งที่เห็น คนเป็นผอ.สำนักพุทธต้องออกมาปกป้อง ผมขอฝากให้คิด” ดร.นิยม กล่าวและว่า
เรื่องกรณีที่อดีตส.ส.พรรคก้าวไกลออกมาพูดถึงวัดในไทยมากเกินไปหรือไม่ ทำให้ผมสงสัยว่าอดีตส.ส.คนดังกล่าวมีศาสนาหรือไม่ ถึงได้ยุยงเด็กรุ่นใหม่ไม่ให้นับถือศาสนา เพื่อเวลายุให้เด็กทำชั่ว จะได้กระทำใดๆได้เต็มที่อย่างไม่กลัวต่อบาปกรรม ถ้าไม่นับถือ ก็อย่ามาทำลายศรัทธาพุทธศานิกชน เพราะประเทศไทยดำรงอยู่ได้เพราะความเป็นชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หลายต่อหลายครั้งที่สมาชิกในพรรคก้าวไกลออกมาใช้สื่อโซเซียลในการปลุกปั่น ก้าวร้าว อหังการ์ต่อพระพุทธศาสนามากเกินไป ตนสังเวชใจมากแบบนี้เรียกว่าเป็นบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ในภาษาพระมักจะกล่าวว่า ธัมมะเทสสี ปะราภะโว แปลว่าผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม ตนในฐานะชาวพุทธคนหนึ่งก็จะไม่ยอมให้ใครมารักแกพระพุทธศาสนา จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นเร็วๆ นี้ จงพิจารณาให้ลึกซึ้ง กันหน่อย อยากได้เอาคนที่ไม่นับถือศาสนาพุทธมาดูแล สำนักพุทธศาสนาเลย ไม่อย่างนั้นตนเกรงว่า ชาติไทยจะสิ้นชาติแน่
ขณะที่พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์,ศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ปปร. รุ่น 15 สถาบันพระปกเกล้า เปิดเผยว่า ในฐานะเป็นวิทยากร ร่วมนำเสนอแง่คิดความเห็นบนเวทีสัมมนา เรื่อง “เป็น อยู่ คือ อย่างเรียบง่ายในโลกที่ซับซ้อน” และได้ฟังแง่คิดความเห็นจากนางกณิกนันต์ ล้อสีทอง รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตลอดรายการนั้น
ส่วนตัวที่อยู่ร่วมเวทีและได้ฟังภาพรวมของการนำเสนอนั้น ยอมรับว่า บางประเด็นของการนำเสนอเชื่อมโยงข้อมูลบางอย่างกับบางพรรคจริง และเป็นไปได้ที่ข้อมูลนั้น มีความหมิ่นเหม่ และอาจจะถูกตีความพาดพิงไปถึงแนวนโยบายของบางพรรคที่เป็นพรรคได้รับเลือกเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากท่าที และเจตนารมณ์ในการสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) ของรอง ผอ. แล้ว ส่วนตัวมองว่า สิ่งที่ท่านรองผู้อำนวยการนำเสนอบนเวทีเป็น #ข้อห่วงใย มากกว่าที่จะเป็น #ข้อกล่าวหา บางประเด็นก็พูดในสิ่งในที่ยังไม่เกิดขึ้น เช่น งบประมาณที่จะได้รับการจัดสรร และบางประเด็นที่พาดพิงถึงลูกของท่านเอง อันเป็นการนำเสนอแบบ I-Message เน้นความห่วงใย ไม่ใช่ You-Message ที่ชี้หน้าคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุแห่งความเลวร้าย
ในขณะเดียวกัน จุดเด่นของพรรคอันดับหนึ่งที่แสดงออกมาโดยตลอด คือ พรรคคนรุ่นใหม่ ที่มีความใจกว้าง มีขันติธรรม เปิดใจรับฟังข้อมูลที่แตกต่าง และดึงผู้คนมาเป็นแนวร่วมในการพัฒนาชุมชน และสังคม (Inclusive Society) จนเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ชาวไทย ราว 15 ล้านคนได้พากันโหวตในครั้งนี้
จากวรรณกรรม เรื่องสามก๊ก ที่ขงเบ้งเตือนเตียวหุยว่า จงยึดใจของพลเมือง อย่ายึดพื้นที่ของเมืองนั้น ได้เตือนใจผู้นำทั้งหลายได้ตระหนักว่า จงอดทนกับคนที่เห็นต่าง และเชื่อต่าง แล้วเปิดทางให้คนเหล่านั้นมาร่วมเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมือง แต่หากเริ่มต้นการบริหารบ้านเมืองด้วยการรบกับพลเมืองก็จะยากที่จะขับเคลื่อนบ้านเมืองไปด้วยกัน
“สุดท้าย อยากจะฝากว่า #จงหาทางอยู่ด้วยกันให้ได้ #ก่อนที่จะหาทางทำงานด้วยกัน การอยู่ด้วยกันจะเริ่มจากการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ใส่ใจกัน รักและถนุถนอมกัน อย่าเพิ่งมองคนที่เห็นต่างว่าเป็นศัตรู เพราะศัตรูมีคนเดียวก็มากแล้ว ด้วยเหตุนี้อับราฮัม ลินคอร์นได้ย้ำ #วิธีการเอาชนะศัตรูที่ดีที่สุด #จงเอาศัตรูมาเป็นมิตรของท่าน การจะก้าวไปข้างหน้าจึงหนีไม่พ้นที่จะมี Mindset แบบนี้” พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์ กล่าวและว่า
ทั้งหมดที่กล่าวมา อยากขอบิณฑบาตให้พรรคอันดับหนึ่ง ได้โปรดพิจารณาข้อสังเกตที่สะท้อนความห่วงใยอย่างรอบด้าน แล้วใช้เวลาจากนี้ได้โปรดนำสิ่งที่ท้าทายดังกล่าวข้างต้นมาพิสูจน์ผ่านการทำงานว่า ไม่ใช่!! ไม่จริง!! ดังจะเห็นได้จากผลงานที่พรรคได้แสดงออกต่อสังคมไทย ด้วยการเสริมสร้างสังคมสันติสุขอย่างยั้งยืน
ขณะที่นายวิโรจน์ กล่าวถึงกรณี ผอ.สำนักพระพุทธศาสนากล่าวหาไม่หนุนศาสนาอีกว่า กรณีนี้ผอ.สำนักพุทธบอกว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ สังคมก็ฟังคำตอบแล้วพิจารณาเอา แต่อย่างไรเรื่องนี้ ขอยืนยันว่า ในเรื่องทุจริตเงินทอนวัดก็ดี ข้อสงสัยต่างๆ หรือความไม่ใว้วางใจจากภาคประชาชน โดยเฉพาะชาวพุทธที่มีต่อสำนักงานพระพุทธศาสนา สำนักพุทธต้องตระหนักดีว่าองค์กรตัวเองก็ถูกสงสัยจากภาคประชาชน และที่สำคัญเงินทอนวัดแต่ละครั้ง เรารู้สึกว่าข้าราชการสำนักพุทธ มีข้าราชการระดับสูงถึง 2 รุ่น 2 คนที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูล และอีกคนอยู่ระหว่างการหนีคดีด้วย และมีข้าราชการอีกหลายคนถูก ป.ป.ช. ชี้มูลและถูกศาลพิพากษา
ทั้งนี้ นายวิโรจน์ มองว่าคนในองค์กรต้องตระหนักตัวเอง แต่ตนเชื่อมั่นการรักษาการผอ.สำนักพุทธฯคนปัจจุบัน เพราะมีความตั้งใจจริงใจแก้ไขการฟื้นภาพลักษณ์สำนักพุทธขึ้นมาใหม่ ซึ่งตนก็ให้กำลังใจ แต่อย่างไรก็ตาม ทำไมประชาชนถึงให้ความสำคัญกับข่าวการทุจริตหรือปัญหาของสำนักพุทธมาก เพราะมีพระผู้ใหญ่ที่ท่านปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ มีจริยธรรมที่ดี ต้องมีมลทินไปด้วย จนกว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมกับพระสงฆ์เหล่านั้น ปรากฏว่าความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว แต่คนที่กระทำและมีส่วนเกี่ยวข้องคือสำนักพุทธที่ทำให้เกิดขึ้น คือการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่ตนเองเป็นสนิมเนื้อในตน ก่อนที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ให้กลับมาดูวัตถุประสงค์แรกเริ่มการเกิดต่อองค์กรท่านและทำให้ท่านบรรลุวัตถุประสงค์ และบรรลุความน่าเชื่อถือที่ประชาชนไว้วางใจได้จะดีกว่า และตนเชื่อว่าอุบาสกอุบาสิกา ชาวพุทธทั่วประเทศยินดีให้ความร่วมมืออยู่แล้ว
Leave a Reply