“มจร หนุน สช.”  จับมือคณะสงฆ์และภาคีเครือข่าย เดินสู่เป้าหมาย “พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข”

วันที่ 7  กรกฎาคม 2566 วานนี้ ที่วัดป่าโนนสะอาด อำเภอโชคชัย จ.นครราชสีมา คณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ  โดยนายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานฝ่ายคฤหัสถ์ ร่วมกับ นายแพทย์ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพ และผศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง อาทิ ฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม, คณะสงฆ์จังหวัดนครราชสีมา, มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 9, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา, วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา, คณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เขตพื้นที่ 9 และเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคม ลงพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดตั้งศูนย์พุทธวิธีดูแลพระสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยระยะท้าย

พระมหาประยูร โชติวโร ผู้อำนวยการวิทยาลัยพระธรรมทูต และรักษาการผู้อำนวยการกองกิจนิสิต มจร ร่วมลงพื้นที่และประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ. 2566 ซึ่งมหาเถรสมาคมได้มีมติรับทราบและเห็นชอบแนวทางในการขับเคลื่อน…เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ “พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข” การส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์ในการเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตและปัญญา การดูแลพระสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยระยะท้าย เป็นเรื่องที่คณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติและภาคีเครือข่ายสำคัญที่จะส่งเสริมเป้าหมายดังกล่าวโดยมีวัดเป็นศูนย์กลางของการบริการสุขภาพของชุมชนและสังคม ผ่านงานกิจการคณะสงฆ์ที่จะเผื่อแผ่ความเมตตาให้กับสังคม การนี้มจร มมร ในฐานะคณะทำงานวิชาการพร้อมหนุน สช. สปสช. สสส. จับมือภาคีเครือข่ายเพื่อเป้าหมายทำให้ “พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข”

พระราชวชิราลังการ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา (ธ.)ได้กล่าวปฏิสันถารผู้เข้าร่วมประชุมว่า การที่คนเรามีความทุกข์มากเนื่องจากคนเราไม่ยอมรับความเป็นจริง การดูแลทั้งสุขภาพและจิตจึงควรไปด้วยกัน กำลังใจทั้งของญาติและผู้ป่วยเป็นเรื่องที่สำคัญที่ทำให้คนอยู่ต่อไปได้  การจัดตั้งศูนย์พุทธวิธีดูแลพระสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยระยะท้าย วัดป่าโนนสะอาด อำเภอโชคชัย จ.นครราชสีมา เป็นกิจกรรมที่สำคัญ ถ้าสามารถทำขยายต่อไปได้ก็จะเป็นประโยชน์ ศาสนาพุทธมีต้นทุนในเรื่องนี้อยู่มาก เราจะทำอย่างไรที่จะเอาสิ่งที่พุทธศาสนามีอยู่ไปใช้ประโยชน์ต่อทั้งพระและประชาชน พระมีความรู้มีประสบการณ์หลายอย่างน่าจะเอาความรู้เหล่านี้ไปทำให้เกิดบุญเกิดกุศลต่อไป

 

 

 

 

พระอธิการแสนปราชญ์ ปัญญาคโม เจ้าอาวาสวัดป่าโน่นสะอาด กล่าวว่า ศูนย์การตายดีของชาวพุทธนั้นมีอยู่ เป็นรูปธรรมแล้ว ผู้ป่วยที่รอวันตายนั้นสามารถยกระดับจิตสู่ฌานได้จริง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท ดังคำกล่าวของพระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ก่อนท่านปรินิพานว่า “วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

นายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฝ่ายคฤหัสถ์ กล่าวว่า ที่มาของธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาตินั้นเกิดจากความห่วงใยในสุขภาพของพระสงฆ์ และการให้บริการสุขภาพพระสงฆ์ที่ยังเข้าไม่ถึงพระสงฆ์อย่างแท้จริง จึงได้มีการนำข้อห่วงใยดังกล่าวไปกราบเรียนท่านพระเดชพระคุณพระพรหมบัณฑิต ท่านได้ให้หลักคิด หลักการสำคัญ คือ ใช้ “ทางธรรม นำทางโลก” ซึ่งเป็นที่มาของธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับที่ 1 ภายใต้ความเห็นชอบของคณะสงฆ์ และหน่วยงานภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วนน้อมนำไปปฏิบัติจนเกิดรูปธรรมต่างๆ ตามมา อาทิเช่น การขึ้นทะเบียนพระสงฆ์เพื่อให้เข้าถึงสิทธิบริการสุขภาพ มีการพัฒนาพระคิลานุปัฏฐากเพื่อดูแลสุขภาพพระสงฆ์ด้วยกันเอง เกิดวัดต้นแบบในการดูแลสุขภาพให้กับฆรวาส ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์นี้เป็นกรอบที่ทำให้เกิดการดูแลสุขภาพตั้งแต่เกิดจนกระทั้งถึงวาระสุดท้าย ปัจจุบันได้มีการทบทวนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับที่ 1 และจัดทำธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 แล้ว

 

ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ มหาเถรสมาคม และเสริมงานของโครงการต่าง ๆ ของมหาเถรสมาคม อาทิ โครงการวัด ประชา รัฐสร้างสุข ศูนย์พุทธวิธีดูแลพระสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยระยะท้าย วัดป่าโนนสะอาด อำเภอโชคชัยจ.นครราชสีมา ที่มาดูงานในวันนี้ เป็นงานที่หน่วยงานที่ดูแลเรื่องระบบบริการสุขภาพในระดับชาติมีความประสงค์จะให้เกิดขึ้น คือ การตายดีในระยะสุดท้ายของชีวิต ซึ่งต้องอาศัยความเมตตาของพระสงฆ์ที่จะเมตตาต่อชุมชนด้วย

นายแพทย์สำเริง แหยงกระโทก ประธานคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เขตพื้นที่ 9 กล่าวว่า มีการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ในกลุ่มจังหวัดเขตพื้นที่ 9 โดยขยายออกไปทุกจังหวัดโดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน มีเจ้าคณะจังหวัดทุกจังหวัดเป็นประธานคณะทำงาน มีการกำหนดกิจกรรมดำเนินการ 6 ด้าน โดยพระและฆราวาสร่วมกันพัฒนา 6 ด้าน คือ การพัฒนาสิ่งแวดล้อมในวัดให้น่าอยู่ พระสงฆ์และฆราวาสปฏิบัติ 5 อ. (อาหาร ออกกำลังกาย อนามัยสิ่งแวดล้อม และยกเลิกอบายมุข) มีการดูแลสุขภาพระสงฆ์ทุกมิติ มีการตรวจสิทธิหลักประกันสุขภาพพระสงฆ์ จัดถวายความรู้ให้พระสงฆ์เป็นพระ อสว. และจัดทำข้อมูลพระสงฆ์ให้ถูกต้อง

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตัวอย่างศูนย์พุทธวิธีดูแลพระสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยระยะท้าย วัดป่าโนนสะอาด อำเภอโชคชัย จ.นครราชสีมา เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ วัดและคณะสงฆ์ต่างเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา เพราะเป็นศูนย์กลางของสังคมและชุมชน ในด้านการให้บริการสุขภาพนั้นประเทศไทยยังขาดระบบบริการสุขภาพในระยะกลางและระยะสุดท้าย

การฟื้นฟูผู้ป่วยกับระบบที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ซึ่งต้นทุนที่สังคมไทยเรามีอยู่ก็คือ วัด  ถ้ามีการสำรวจวัดที่มีพร้อมว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่ในการออกมาตรฐานของหน่วยให้บริการ  สปสช.ทำหน้าที่สนับสนุนชุดสิทธิประโยชน์ในการให้บริการ สสส. ทำหน้าที่ในการสนับสนุนกระบวนการพัฒนาศักยภาพ สช.ทำหน้าที่ในประสานความร่วมมือเชิงนโยบาย ถ้าหน่วยงานร่วมมือกันประเทศไทยก็จะมีระบบการดูแลทั้งด้านสุขภาพทั้งกายและจิตใจ

 

ขอบคุณภาพจาก : ฝ่ายสื่อสารองค์กรฯ สปสช.

Leave a Reply