“มจร”มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จะมีงานประสาทปริญญาประจำปี ระหว่างวันที่ 9 -10 ธันวาคม 2566 ซึ่งตามกำหนดการวันที่ 9 เป็นวันซ้อมใหญ่ วันที่ 10 เป็นวันรับปริญญาจริง ปีนี้มีผู้จบการศึกษาทั้งสิ้น 4,628รูป/คน ลงทะเบียนเข้ารับประทานปริญญาบัตรรับจริง 3,108 รูป/คน แยกเป็นบรรพชิต 1,671 รูป และคฤหัสถ์ 1,437 คน อันนี้รวมวิทยาเขต “มจร” ทั่วประเทศที่มีมากกว่ามี 43 แห่ง รวมทั้งสถาบันสมทบจากต่างประเทศอีก 5 แห่ง แต่ไม่นับรวมผู้มีชื่อเสียงทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ที่สภา “มจร” อนุมัติปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เข็มเกียรติคุณ ซึ่งมาจากทั่วโลกอีก 117 รูป/คน โดยแบ่งเป็นปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 74 รูป/คน และเข็มเกียรติคุณ 43 รูป/คน ซึ่งตอนนี้มีประมุขสงฆ์บ้าง นักวิชาการบ้าง ผู้คำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาบ้าง เริ่มทยอยเดินทางเข้ามายังประเทศไทยแล้ว

“ผู้เขียน” ในฐานะ “ผู้ประสานงาน” ให้กับคณะสงฆ์มอญหรือ “รามัญ” ซึ่งปีนี้ทางสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ให้โอกาสมี “ส่วนร่วม” ในการทำงานรับใช้พระพุทธศาสนา และ “มจร” ในโอกาสสำคัญนี้ด้วยเนื่องจาก มีคณะสงฆ์มอญประกอบด้วย 2 นิกาย คือ “รามัญนิกาย -นิกายมหาเย็น” จะมารับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ และขณะเดียวกันคณะสงฆ์มอญใช้โอกาสนี้เจริญสัมพันธไมตรีถวาย “พระไตรปิฎกฉบับภาษามอญ” ให้กับ “มจร” ในขณะที่ผู้บริหาร “มจร” ก็มอบถวายพระไตรปิฎกฉบับ “มจร” ให้กับคณะสงฆ์มอญเฉกเช่นเดียวกัน
หากเป็นสมัยก่อนโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งแบบนี้ มีการแลกเปลี่ยนพระไตรปิฎกซึ่งกันและกันมีแบบนี้ คงจะมีการเฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืนเป็นอย่างต่ำ เพราะพระไตรปิฎกคือ คัมภีร์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา บรรจุทั้งพระอภิธรรม พระวินัยและพระสูตรที่เป็นรากเหง้าสำคัญในการรวบรวมความเป็น พระพุทธศาสนา ไว้ในนี้ทั้งหมด
พระไตรปิฏกคือ..ชีวิตของพระพุทธศาสนา การมอบพระไตรปิฏกเสมือนการมอบชีวิตของพระพุทธศาสนาให้กันและกัน เป็นการสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนาให้ยึดยาวไปชั่วลูกชั่วหลาน

คณะสงฆ์มอญในประเทศพม่าประกอบด้วย 3 นิกาย คือ รามัญนิกาย นิกายมหาเย็น และนิกายชะเวจิน จำนวนพระภิกษุ -สามเณร มากที่สุดคือ รามัญนิกาย มีประมาณ 10,000 รูป จำนวน วัด1,000 กว่าวัด ส่วนนิกายมหาเย็นมีวัด 98 วัดและพระภิกษุ-สามเณร 1,000 กว่ารูป ส่วนชะเวจิน มีน้อยกว่าทั้งสองนิกาย
เดิมความแตกแยกระหว่างนิกายในคณะสงฆ์มอญก็เหมือนกับความแตกแยกระหว่าง “คณะสงฆ์มหานิกาย-คณะธรรมยุต” ในประเทศไทย และลามไปถึงวาทกรรม “พระฉัน -พระเธอ” ในหมู่ประชาชนด้วย
แต่ปัจจุบันนี้ความแตกแยกระหว่างนิกายนั้นได้สลายลงไปด้วยอิทธิพลของพระภิกษุรุ่นใหม่และประชาชนคนรุ่นใหม่แล้ว
ตามประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์มอญเดิมทีคณะสงฆ์มอญในพม่า ไม่มีความแตกแยกกันเพราะมีนิกายเดียว คือ รามัญนิกาย หลังจากมอญตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า รัฐบานพม่าใช้นโยบาย “แบบแยกแล้วปกครอง” จึงแยกคณะสงฆ์มอญออกเป็น 3 นิกายดังที่กล่าวมา
ปัจจุบัน “คณะสงฆ์รามัญนิกาย” ของมอญ มีศูนย์กลาง อยู่ในเมืองเมาะละแหม่งซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐมอญ มีการจัดสอบพระปริยัติธรรมแบบฉบับของมอญเองทุกปี ในแต่ละปีมีพระสงฆ์มอญมาร่วมสอบร่วม 3,000 รูป ซึ่งการสอบพระปริยัติธรรมนี้ เป็นไปโดยความเห็นชอบของรัฐบาลพม่า
“ผู้เขียน” เคยพาคณะสงฆ์และมอญจากประเทศไทย ไปร่วมถวายผ้าไตร เลี้ยงภัตตาหาร ในนาม “มูลนิธิรามัญรักษ์” หลายครั้ง รู้สึกประทับใจ และทั้งมีความพยายามที่จะให้ “พระภิกษุ-สามเณร” เหล่านี้เมื่อสอบผ่านตามหลักสูตรชั้นสูงของเขาแล้วเช่น “ธรรมจริยะ” สามารถมาเรียนต่อ “มจร” หรือ “มมร” ได้เลย ภายใต้การอนุมัติของคณะสงฆ์มอญด้วยกันเอง
หลายปีมานี้ “ผู้เขียน” มีโอกาสคลุกคลีและพูดคุยกับคณะสงฆ์มอญทั้ง 3 นิกายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะสงฆ์ในรามัญนิกายและนิกายมหาเย็น หรือ “รามัญธรรมยุต” สัมผัสได้ว่า คณะสงฆ์มอญรุ่นใหม่ ความแตกแยกระหว่างนิกาย “เบาบาง -จางหาย” ไปเกือบหมดแล้ว คณะสงฆ์รุ่นใหม่ มีการทำงานร่วมกันมากขึ้น ฉันข้าววงเดียวกัน ไปไหนไปด้วยกัน และที่สำคัญท่านเหล่านี้ผ่านการศึกษามาจากต่างประเทศ เช่น ศรีลังกา อินเดีย และประเทศไทย

ระบบการศึกษายุคใหม่..ทำให้ความแตกแยกระหว่างนิกายในอดีต ปัจจุบันแทบไม่มีหลงเหลือ ซึ่งส่งผลดีต่อการทำงานรับใช้พระพุทธศาสนาในระยะยาว เพราะหากคณะสงฆ์มีความสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ชาวบ้านก็สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียว เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศพม่า ศรีลังกา กัมพูชา หรือแม้กระทั้งประเทศไทย
“ผู้เขียน”นำมาเล่าเรื่องเหล่านี้ สืบเนื่องมาจากคณะสงฆ์มอญประกอบด้วย “คณะสงฆ์รามัญนิกาย-นิกายมหาเย็น” หรือรามัญธรรมยุต จะเดินทางมารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์และจะมีการมอบพระไตรปิฏกแก่ “มจร” ร่วมกันในวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2566 นี้ โดยมี “พระธรรมวัชรบัณฑิต” อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยให้เกียรติแก่คณะสงฆ์มอญมารับพระไตรปิฏกด้วยตัวท่านเอง รวมทั้งมีรองอธิการบดี คณะผู้บริหารอีกหลายท่านมาร่วมงาน ภายใต้การประสานงานของรองฝ่ายต่างประเทศคือ “พระมหาสุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน” และคณะทำงาน ซึ่งกิจกรรมมอบพระไตรปิฏกซึ่งกันและกันระหว่างคณะสงฆ์สองประเทศแบบนี้
“ผู้เขียน” เป็นหัวเก่าให้ความสำคัญเป็นอย่างมากและทั้งดีใจและภูมิใจเป็นอย่างมากที่ตนเองเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมแบบนี้ และที่ดีใจมากยิ่งกว่าคือ คณะผู้บริหาร “มจร” ให้โอกาส ให้เกียรติ โดยไม่เลือกว่าคณะสงฆ์ที่จะมามอบนั้น เป็นมาอย่างไรและปัจจุบันอยู่กันอย่างไร


Leave a Reply