วันที่ 13 พ.ย.66 เฟชบุ๊ค Banjob Bannaruji – บ้านบรรณรุจิ ซึ่งเป็นเฟชบุ๊คสาธารณะของ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต นักวิชาการพระพุทธศาสนาชื่อดัง ได้โพสต์ว่า ‘ขออย่าให้ พุทธมณฑล กลายเป็นศูนย์กลางร้าง เพราะแค่คณะสงฆ์เอาตัวรอดว่า ‘วัดใครวัดมัน’
ฝากถึง รัฐมนตรีหญิง พวงเพ็ชร (ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) เอาแค่ ‘ทำพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางบริหารงานคณะสงฆ์ไทย’ ได้ก็นับว่าทำบุญใหญ่กับพระพุทธศาสนาไทยแล้ว ยังไม่ต้องไปไกลถึงศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกหรอก ถ้ารัฐมนตรีทำได้
เท่ากับเปิดประวัติศาสร์ใหม่ให้กับพระพุทธศาสนาไทยเลยนะ
เริ่มต้นไว้อย่างนี้ หลายท่านคงมองออกว่า ผมจะมาแนววิพากษ์สังคมพระพุทธศาสนาบ้านเรา
ใช่ ! แต่ไม่ใช่เพื่อทำร้ายใคร หากมุ่งให้เกิดการสร้างสรรค์ แม้จะไม่แนวถนัดของผมก็ตาม เคยคุยกันไว้ในหมู่เพื่อนฝูงว่า
จะเขียนสดุดีรัฐมนตรีผู้หญิงคนแรกที่ดูแลสำนักพุทธสักที แต่ขอดูนโยบายที่จะให้กับสำนักพุทธก่อน
จนเมื่อถึงวันนี้ เห็นนโยบายแล้วก็ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง เพราะมี ‘ความเป็นพุทธ’ ปรากฏอยู่ในนโยบายชัดเจน

@ ผิดกับรัฐมนตรีท่านก่อนๆ ที่เข้ามาโดยไม่มีนโยบายให้รู้ทิศทาง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ
ไม่ได้เข้ามาดูแลแบบมีใจให้
ไม่มีความรู้ที่จะทำงานด้านพระพุทธศาสนา
ไม่ให้ความสำคัญพระพุทธศาสนาเพียงเพราะเห็นว่าพระสงฆ์บุคลากรหลักของสถาบันพระพุทธศาสนาลงคะแนนเลือกตั้งให้ไม่ได้ แม้ดูแลดีไปก็ไม่ได้คะแนนกลับมา (หรือ)
อาจเข้าใจว่า รัฐมนตรีดูแลสำนักพุทธไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากไปปรากฏตัวให้บรรดา ‘พระมหาเถระ’ กรรมการมหาเถรสมาคมเห็นในงานฉลองชนมายุหรือฉลองวันเกิดของแต่ละท่านก็พอ
*เคยได้ยินรัฐมนตรี(ชาย)ในอดีตอันไม่ไกลโพ้นบางท่านบ่นว่า
‘เข้ามาแล้วอยากทำงานให้พระพุทธศาสนาในภาพรวม แต่กลับทำไม่ได้ เพราะต้องใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการเดินสายถือแจกันไปถวายมุทิตาสักการะในงานวันเกิดกรรมการมหาเถรสมาคมแต่ละรูปถึงวัด ถึงวัดแล้ว ก็มีแต่พูดคุยให้สนับสนุนภารกิจเรื่องส่วนบุคคลส่วนวัด…’ มีคนเคยหลุดปากแนะนำไปว่า ‘ไม่ไปไม่ได้หรือ ? หรือ บางคนเสนอว่า ‘ถ้างั้นไปบ้าง ไม่ไปบ้างก็ได้’
รัฐมนตรีไม่ตอบ เอาแต่สั่นหน้าดิกปฏิเสธลูกเดียวว่า ‘ไม่ได้’
@ ว่าจะเขียนสดุดีรัฐมนตรีหญิงพวงเพชร แต่ไหงไพล่ไปถึงความในใจของอดีตรัฐมนตรีชายท่านหนึ่ง
ไหน ๆก็ไหน ๆ ไพล่มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ขอใช้โอกาสนี้กราบเรียนบรรดาพระมหาเถระผู้กุมบังเหียนมหาเถรสมาคมว่า
‘ขอให้ใช้รัฐมนตรีเพื่อปะโยชน์แก่พระพุทธศาสนาในภาพรวมเถิด อย่าใช้แค่เพื่อประโยชน์วัดใครวัดมันอย่างที่ผ่านมาเลย’
ที่พูดเช่นนี้ ไม่ใช่ต้องการไประรานมหาเถรสมาคม องค์กรสูงสุดฝ่ายปกครองของคณะสงฆ์ แต่ความจริงมีอยู่ว่า
‘ความเจริญทางวัตถุ อย่างเช่น สร้างวัดสร้างกุฏิศาลาเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนหลัง ถึงคราวมีภัย ก็ไม่สามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ แม้ชั่วเวลาดื่มข้าวยาคูแค่อึกหนึ่ง’ พระสิริมังคลาจารย์ มหาปราชญ์ชาวเชียงใหม่กล่าวในมัวคลัตถทีปนีเมื่อเกือบพันปีมาแล้ว
ก็จริงอย่างท่านว่า ดูมหาวิทยาลัยนาลันทาเป็นตัวอย่าง ใหญ่โตขนาดไหน แถมมีอำนาจบ้านเมืองสนับสนุน แต่ถึงคราวมีภัยก็ไม่รอด กองทัพมุสลิมมาไม่กี่ร้อยคนก็บุกเข้าเผาเข้าทำลายเสียหมดโอกาสฟื้นตัว ทั่งนี้เพราะพระสงฆ์บุคลากรหลักต่างอยู่แบบสุขสบาย ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับสังคมนอกมหาวิทยาลัยไว้เป็นกำแพงป้องกัน ถึงคราวมุสลิมเผา คนฮินดูที่ไม่ช่วยเลยช่วยเผาด้วย
เรื่องที่ว่ามาทั้งหมด น่าจะช่วยยืนยันได้ว่า ‘ความเจริญของแต่ละวัดไม่ใช่หลักจะประกันแท้จริงว่าจะทำให้พระพุทธศาสนามั่นคงได้’ เพราะอะไร ?


Leave a Reply