วันที่ 29 ม.ค. 67 เฟชบุ๊ค พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณประสาร” รองอธิการบดีบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้โพสต์ตอบคำถามกรณีมีคลิปเผยแพร่บทสนทนาประเด็น มหาวิทยาลัยสงฆ์มีไว้ทำไม” ระหว่าง อาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย ถาม อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ มีความระเอียดดังนี้
อันเนื่องมาจากบทสนทนา “มหาวิทยาลัยสงฆ์มีไว้ทำไม” สมฤทธิ์ ลือชัย ถาม ส.ศิวรักษ์ และบทความ“ปัญหาของเหตุผลทางศีลธรรมเถรวาทไทยเทียบกับมหายาน”โดย สุรพศ ทวีศักดิ์
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาอาตมาไม่ค่อยจะได้ดูสื่อ ดูโซเซียลอะไรมากนัก เพราะมัวแต่เดินทางไปโน้นมานี่ จึงมีเวลาให้กับบางเรื่อง บางอย่างเช่น ดูข่าว อ่านข่าวน้อยลงไป แต่ก็ยังมีสหธรรมิกที่หวังดี ปรารถนาดีส่งเรื่องราวข่าวสารต่างๆมาให้ดูมาให้อ่านอยู่เนืองๆ นัยว่าจะได้ไม่เป็นคนตกข่าว
และในความเป็นจริงนั้น ในหลายปีมานี้อาตมาค่อนข้างจะมีขาประจำที่คอยแวะเวียนมาพูด มากล่าวถึงอยู่เนืองๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ท่านก็ว่าของท่านไป เป็นสิทธิของท่าน แต่ในห้วงเวลานี้กลับมีสมาชิกเพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งดูเหมือนว่าจะถี่ขึ้นๆก็คือ อ.สมฤทธิ์ ลือชัย และอ.สุรพศ ทวีศักดิ์
แต่เดิมนั้นท่านทั้งสองก็จะมีมาบ้างประปราย แต่ช่วงนี้ต้องขอบคุณอาจารย์ทั้งสองที่ดูจะขยันในการพูด ในการเขียนถึงอาตมาเป็นพิเศษ รวมทั้งได้นำรูปภาพไปลงประกอบในบทความ ข้อเขียน บทสนทนาของท่านด้วย

วันนี้อาตมาขอยืนยันว่า อาตมายังคงมีจุดยืนเดิมคือ พยายามจะตอบโต้หรือพูดถึงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยอาศัยกำลังแห่งขันติเท่าที่มีอยู่ เพราะได้รำลึกอยู่เสมอว่าเราเป็นพระสงฆ์ การที่จะวิวาทกับชาวบ้านนั้นดูจะไม่งาม ไม่เหมาะนัก โดยเฉพาะในบางเรื่อง บางกรณี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฆราวาสบางท่าน บางคนแล้ว พระท่านจะพยายามหลีกห่างออกไปให้ไกล ไม่ใช่เพราะท่านกลัว ไม่ใช่เพราะท่านไม่มีภูมิปัญญาจะตอบโต้แต่ท่านไม่ต้องการที่จะมาต่อความยาวสาวความยืด ท่านไม่ต้องการที่จะตกเป็นเหยื่อหรือตกหลุมพรางของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอาตมาเองก็ได้ยึดถือหลักการนี้มาโดยตลอด เว้นเสียแต่ว่าท่านจะได้พูดได้กล่าวพาดพิงถึงสถาบันการศึกษา คือ มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อาตมาก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารที่นั่น และถ้าจะไม่พูด ไม่ชี้แจงบ้าง ก็ดูเหมือนว่าเราจะอับจนปัญญา หมดทางสู้ ปล่อยให้เขาว่า ปล่อยให้เขาพูดอยู่ฝ่ายเดียวในที่สุดแล้วก็ดูเหมือนจะเป็นการยอมรับด้วยซ้ำไป แม้ในบางสิ่งบางอย่างที่พูดนั้นอาจจะเข้าใจผิด ไม่มีข้อมูลเพียงพอ หรืออาจจะมีเจตนาอื่นใดแอบแฝงไว้ก็ตาม
เบื้องต้นขออนุญาตพูดถึงเรื่องแรกก่อน คือ บทสนทนาผ่านสื่อในเรื่อง “มหาวิทยาลัยสงฆ์มีไว้ทำไม“ สมฤทธิ์ ลือชัย ถาม ส.ศิวรักษ์
ในเรื่องนี้นั้น ในเนื้อหาสาระอาตมาจะยังไม่ลงในรายละเอียดมากนัก เพียงแค่จะตั้งคำถามในเชิงศีลธรรมหรือความชอบธรรมของสื่อมวลชนเสียก่อน อุปมาอุปไมยเหมือนระบบศาลยุติธรรม เมื่อมีการฟ้องร้องกัน ทนายฝ่ายจำเลยจะสู้ในแง่มุมที่ว่าผู้ฟ้องมีสิทธิ์ฟ้องหรือไม่ ถ้าไม่มีสิทธิก็เป็นอันพับไป ถ้ามีค่อยไปลงในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังนั้น จากการที่ได้ดู ได้ฟังหลายรอบ อาตมาจึงมีคำถามถึงอ.สมฤทธิ์ ลือชัย ดังนี้
1.หัวข้อสนทนา “มหาวิทยาลัยสงฆ์มีไว้ทำไม” นั้น เป็นหัวข้อชวนสนทนากับปัญญาชนสยามที่ท่านได้คิด ได้ไตร่ตรองมาดีแล้วใช่หรือไม่ ผู้ดำเนินการสนทนามีความมั่นใจไหม ว่าการตั้งชื่อเรื่องสนทนานั้น ท่านต้องการแสวงหาข้อเท็จจริง มุ่งหาเหตุและผล เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง ได้ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ทำโดยปราศจากกำลังแห่งอคติเข้าครอบงำหรือไม่ ถามใจท่านดู
2.คำถามในแต่ละคำถามที่เตรียมมานั้น ท่านสามารถตอบด้วยความแกล้วกล้า กล้าหาญต่อจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชนที่ดีได้หรือไม่
เพราะดูเหมือนว่าคำถามส่วนใหญ่นั้นล้วนเป็นคำถามที่เข้าทำนองชี้นำ มุ่งนำร่อง โดยมีประเด็นและจุดมุ่งหมายเฉพาะ บนกรอบที่ตนเองได้วางไว้ ใช่หรือไม่
3.บทสรุปในแต่ละคำถามของผู้ชวนสนทนานั้น ไม่ว่าผู้ตอบจะตอบโดยหลักการแบบไหน อย่างไร สุดท้ายแล้วผู้ชวนสนทนาล้วนดึงให้เข้ามาในบทสรุปเฉพาะของตนเอง เข้าทำนอง ว่าเอง เออเอง ชงเองกินเอง ใช่ไหม
ในนามมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้นตัองขออนุโมทนาขอบคุณอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่มีความเป็นปราชญ์ เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เอนเอียง ยึดมั่นในหลักการแม้จะถูกชักนำตั้งแต่การตั้งคำถามและระหว่างบทสนทนาก็ตาม


Leave a Reply