ภาพประวัติศาสตร์ครั้งพระอาจ อาสโภ (อดีตพระพิมลธรรม) กลับคืนสู่ผ้ากาสาวพัสตร์ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๙ หลังติดคุกในข้อหาคอมมิวนิสต์อยู่นานถึง ๔ ปี ภายหลังได้คืนสู่ตำแหน่งอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุฯ และได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปฎิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราชในที่สุด จนกระทั่งได้ถึงแก่มรณะภาพในปี ๒๕๓๓ สิริอายุได้ ๘๖ ปี
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของชาติภายใต้การนำของเผด็จการทหาร (จอมพลสฤษดิ์) + เผด็จการคณะสงฆ์ เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์ (ภัยต่อความมั่นคง) ถูกพิจารณาตัดสินโทษด้วย อำนาจศาลทหาร จองจำ ณ สันติบาลนานถึง ๔ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๕ กระทั่งในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๙ เวลา ๙.๐๐ ศาลทหารกรุงเทพได้นัดให้โจทก์และจำเลยมาฟังคำพิพากษาตัดสินคดีประวัติศาสตร์ดังกล่าว อนึ่งคำวินิจฉัยพิพากษาคดีนี้ยืดยาวเป็นเอกสารหนาถึง ๖๘ หน้า จึงขอคัดเฉพาะข้อความบางตอน อันเป็นการสรุปผลการตัดสินของศาลไว้ดังนี้
“…ตามที่ศาลได้ประมวลวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฟ้อง และกล่าวหามาหลายข้อหา หลายประเด็นนี้ มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดๆเลย พอที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำหรือน่าจะกระทำผิด …แต่กลับมาต้องถูกออกจากเจ้าอาวาส ถูกออกจากสมณศักดิ์ ถูกจับกุม ถูกบังคับให้สละเพศพรหมจรรย์ นับว่ารุนแรงที่สุดสำหรับพระเถระผู้ใหญ่ที่ปวงชนเคารพนับถือ พระธรรมโกศาจารย์ถึงกลับกล่าวว่า คิดได้อย่างเดียวว่า เกิดขึ้นเพราะความอิจฉาริษยากันในวงการสงฆ์ หรือมิฉะนั้นก็เป็นกรรมเก่าของจำเลยเท่านั้นเอง
จำเลยถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรมจริง ๆ ไม่ได้กระทำผิดตามกล่าวหา …ศาลนี้รู้สึกสลดใจและเห็นใจจำเลย แต่เชื่อว่าจำเลยซึ่งอบรมอยู่ในพระศาสนามานาน คงจะทราบซึ้งดีในอุเบกขาญาณที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดไว้ดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะเป็นกรรมทายาทรับผลของกรรมนั้น และคงจะตั้งอยู่ในคุณธรรมอันเป็นลักษณะของบัณฑิตในพระพุทธศาสนาสืบไป อาศัยเหตุผลและดุลยพินิจที่ได้วินิจฉัยมา จึงพร้อมกันพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป”
โปรดสังเกตข้อความการพิจารณาคดีของศาลทหารกล่าวอ้างว่าเป็นกรรมของจำเลย ทำให้คดีนี้ไม่มีผู้กระทำผิดอย่างสิ้นเชิงซึ่งเท่ากับพระอาจ อาสโภ ติดคุกฟรีนาน ๔ ปี โดยไม่มีผู้ต้องหา
เพจ..ผู้ใฝ่รู้ประวัติศาสตร์
Leave a Reply