เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎรได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าวันนี้วันที่เก้าเดือนเก้า ขอโชคดีมีชัยจงมีแก่ทุกท่านครับ ผู้เขียนได้ไปร่วมพิธีรับพระบรมราชโองการแต่งตั้ง พระพรหมสิทธิ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม และได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศวรวิหาร ผมจำวันที่มากราบท่านในวันที่วัดสระเกศมืดมน กราบท่านในวันที่พระต้องใส่ชุดขาว มานั่งหารือข้อกฎหมาย ภาพนี้จำได้ตราตรึงใจ ว่าพระพุทธศาสนาทำไม่ถูกย่ำยีได้ถึงขนาดนี้ แม้พ้นจากคุก แต่ก็ไม่มีสิทธิใส่ผ้าเหลือง! มีการครอบงำอาจอำนาจรัฐ เพื่อให้วงการพระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย มีการให้สื่อตีความที่ทำให้พระเสียหายผ่านวลี “เงินทอนวัด”
จากวันนั้นถึงวันนี้วงการสงฆ์และการศาสนาพุทธของไทย เงียบหายจากวงการโลก ที่สำคัญเด็กรุ่นใหม่จำนวนมาก ไม่ระบุศาสนาใดบัตรประชาชน เขามองว่าเขาไม่มีศาสนา สิ่งนี้ในอนาคตชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยอาจไม่มีสถาบันพุทธศาสนา เหตุการณ์ของพระพรหมสิทธิเรื่องราวคล้ายกับพระพิมลธรรมหลังข้อหาร้ายแรงต่อเนื่องกันในช่วงต้นทศวรรษ 2500 คือ ในปี 2503 ถูกถอดจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและสมณศักดิ์ก่อนที่ปี 2505 โดนบังคับสึกและขังไว้ที่ที่ห้องขังตำรวจสันติบาลในข้อหาคอมมิวนิสต์ จากฝ่ายปฏิวัติรัฐประหาร
จุดเริ่มต้นของ “คดีพระพิมลธรรม” เกิดจากการแต่งตั้งสังฆมนตรีชุดใหม่เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 หลังจากพระศาสนโสภณ (จวน อุฏฐายี) เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ดำรงตำแหน่งสังฆนายก ซึ่งสังฆมนตรีชุดนี้ไม่มีชื่อพระพิมลธรรมที่เป็นสังฆมนตรีติดต่อมาหลายสมัย กระทุ้งวันที่ 30 สิงหาคม 2509 อดีตพระพิมลธรรมได้ออกจากศาลทหารในภาพที่ทรงสมณเพศอย่างเรียบร้อย ท่ามกลางความปีติโสมนัสของพุทธบริษัท
ภาพวันนี้เหมือนก๊อบปี้มาจากกรณีพระพิมลธรรมมาเลย วันนี้ผู้เขียนขับรถเข้ามาวัดสระเกศวรวิหาร แทบจะไม่มีที่จอดครับ ด้วยทั้งพระทั้งโยม ต่างเข้ามาแสดงความยินดี “อย่างไม่ได้นัดหมาย” คล้ายกับวันอาสาฬหบูชาฉันใดฉันนั้น ตามหลักกฎหมายที่ได้วางหลักให้ผู้เสียหายได้ “กลับคืนสู่สถานะดังที่เป็นอยู่เดิมหรือใกล้เคียงกับสถานะเดิมให้มากที่สุด” นั้น ในตัวบทกฎหมายไม่ได้ระบุอย่างชัดแจ้ง
จากในอดีต พระพรหมสิทธิดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ มส. เจ้าคณะภาค 10 และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ นั้นผู้เขียนเห็นว่าอีกไม่นานท่านก็คงได้ตำแหน่งเหล่านี้กลับมา และจะมีตำแหน่งที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปดังเช่นพระพิมลธรรมท่านก็คืนสู่ตำแหน่งอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ และได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ภายหลังเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งเป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกอีกด้วย
เหตุการณ์พระพิมลธรรม นี้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ ระบุผู้คืนอิสรภาพ คือความเป็นพระและให้ตำแหน่งท่าน ภาพนี้พระพรหมสิทธิ ก็จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ ไปอีกยาวนานภาพผลกรรมผู้ทำลายพระพุทธศาสนา อาจได้ผลเช่นเดียวกับการทำร้ายพระพิมลธรรม
อย่างไรก็ตาม คดีเงินทอนวัด พระสงฆ์หลายรูปต้องมรณะภาพไปก่อนหน้านี้เสียแล้ว มีทั้งระดับสมเด็จราชาคณะลงมาถึงพระธรรมดา วัดที่ได้รับผลจากการปฏิวัติรัฐประหาร และได้คดีแต่ยังดำเนินไม่เสร็จสิ้น เช่น วัดสัมพันธวงศาราม ,วัดพนัญเชิงวรวิหาร ,วัดพระพุทธบาทตากผ้า ,วัดห้วยตาแกละ,ราชบูรณะ (วัดนอก) ,วัดโพธิ์ศรี, วัดโคกเลาะ ,วัดพระศรีเจริญ,วัดวัฒนาราม,วัดหาดปู่ด้าย,วัดทุ่งต่ำ ,วัดบ้านอ้อ, วัดอุมลอง, วัดกวิศรารามฯ , วัดบางระกำ , วัดสุวรรณาราม , วัดราชสิทธารามฯ , วัดพิชยญาติการามฯ , วัดยางโองน้ำ , วัดบำเพ็ญเหนือ , วัดยางโองสันกลาง , วัดดาวดึงษาราม , วัดยางโอนบน , วัดไร่ขิง , วัดลาดแค , วัดโคกสารสัจจธรรม , วัดห้วยทรายขาว , วัดญาณเมธี , วัดช้าง , วัดปากดงสามัคคีธรรม , วัดดอนสะท้อน , วัดหนองสะเอ้ง , วัดท้องตมใหญ่ , วัดรังงามปทุมรักษ์ , วัดเล็บกระรอก , วัดพระธรรมกาย , วัดศรีบุญนำ
ผู้เขียนเห็นว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะผู้เกี่ยวข้องสูงสุดควรรีบเข้าไปช่วยเหลือและเยียวยา หากวันใดฟ้า คุณูปการที่ทำให้กับพระพุทธศาสนาจะเป็นผลบุญใหญ่หนุนนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ครับ
ที่มา – https://www.facebook.com/share/eLCySDr538m9fX2D/?mibextid=WC7FNe
Leave a Reply