วันที่ 3 ธันวาคม 2567 ดร.มงคล นาฏกระสูตร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร นักวิชาการด้านศาสนา ได้โพสต์กรณีมีพระภิกษุรูปหนึ่งได้พูดว่า “ไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์” โดยมีรายละเอียดข้อความโพสต์ว่า ปรากฎมีพระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวเทศนาแบบอวดตนว่า ไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ยังปรามาสพระผู้ทรงพระปาฏิโมกข์และการสวดพระปาฏิโมกข์ เมื่อท่านหิวแสง วันนี้คงจะต้องชำแหละเรื่องนี้กันบ้าง
เป็นพระได้เพราะการสวด
ปัจจุบันการอุปสมบทของสงฆ์เถรวาท เป็นระบบญัตติจตุตถกรรมวาจา คือการสวดญัตติ โดยพระคู่สวด (พระกัมมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์) ส่วนพระอุปัชฌาย์ก็สวดบอกอนุศาสน์แก่อุปสัมปทาเปกขะ (ผู้ขอบวช) การบอกว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ถ้าไม่มีการสวดญัตติกรรม พระคุณเจ้าผู้กล่าวจะมาเป็นพระได้อย่างไร ทราบบ้างหรือไม่ !

การสวดในพระพุทธศาสนามีมาแต่พุทธกาล
การสวด (สังคีติ) คือการกล่าวขึ้นพร้อมกัน มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน แบ่งเป็น 4 ประการ
1.การสวดในวินัยกรรม เช่น สวดตั้งญัตติ สวดเผดียงสงฆ์ สวดปาฏิโมกข์ ฯลฯ เป็นสังฆกรรมตามพระวินัยใช้การสวดทั้งนั้น
2.การสวดพระปริตร คือ การสวดเพื่อปกป้องภัยต่างๆ เช่น สวดรัตนสูตร เพื่อป้องกันทุพภิกขภัย, สวดกรณียเมตตสูตร เพื่อป้องกันภูตผี,สวดโพชฌังคสูตร เพื่อรักษาโรคภัย ฯลฯ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตและประทานบทสวดด้วยพระองค์เอง
3.สวดสรภัญญะ คือ การสวดทำนอง ทรงยกย่อง พระโสณกุฏิกัณณะเป็นเอตทัคคะในด้านนี้
4.สวดระลึกคุณของพระรัตนตรัย เพื่อให้เกิดอนุสติในการปฏิบัติกัมมัฏฐาน เป็นอุบายให้จิตน้อมเข้าสู่สมาธิได้เร็วขึ้น
สังเกตุเห็นว่าทั้ง 3 ข้อแรกมีปรากฎในพระไตรปิฎกชัดเจนและมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ส่วนข้อสุดท้ายไม่ชัดเจนว่าเกิดเมื่อไร แต่นิยมสวดมนต์กันถึงปัจจุบัน การบอกว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์จึงพูดขัดกับพระธรรมวินัยว่าเอาเอง ส่วนการสวดอ้อนวอนบวงสรวงขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มิใช่ทัศนะพุทธในความหมายนี้เช่นกัน.


Leave a Reply