“พระมหานรินทร์” เปิด “ตัวช่วย” “อดีตพระพรหมเมธี” ลี้ภัยเยอรมัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เฟชบุ๊ค PM-Narin Narinto ซึ่งเป็นเฟชส่วนตัวของ พระมหานรินทร์ นรินฺโท ป.ธ.9 เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ถึง กระแสข่าวกรณี “อดีตพระพรหมเมธี” วัดสัมพันธวงศาราม กรุงเทพมหานคร กำลังจะกลับมาประเทศไทย ว่า

กลับแน่..แต่รอหน่อย อดีตพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) วัดสัมพันธวงศาราม กรุงเทพมหานคร ซึ่งเคยมีตำแหน่งระดับสูงในคณะสงฆ์ไทย เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เทียบได้กับคณะรัฐมนตรี มีสมณศักดิ์สูงส่งถึงระดับรองสมเด็จพระราชาคณะ ถือว่ามาแรงที่สุดในคณะธรรมยุตยุคนั้น ถ้าไม่เกิดอุปสรรคใดๆ ป่านนี้ท่านเข้าป้ายเป็น “สมเด็จ” ไปก่อนรูปอื่นๆ แล้ว

แต่..แต่ชีวิตกลับพลิกผัน เมื่อรัฐบาล คสช. ในปี พ.ศ.2561 ได้เปิดปฏิบัติการ “กวาดลานวัด” อะไรที่อยู่ในเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นธรรมยุตหรือมหานิกาย ก็ถูกรัฐบาลไทยสมัยนั้น “ดำเนินการขั้นเด็ดขาด” รองสมเด็จพระราชาคณะที่มีบทบาทในทางคณะสงฆ์ไทยในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นวัดสระเกศ วัดสามพระยา หรือแม้แต่วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นธรรมยุตแท้ๆ ก็ไม่เว้น ใครหนีไม่ทัน ไม่ว่าจะมอบตัวแบบเดินไปขึ้นรถตำรวจเองก็ตาม ก็ถูก “จับสึกใส่ผ้าขาว” ภายในวันเดียว พร้อมๆ กับการปลดจากทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นสมณศักดิ์หรือทางการปกครอง ทำนองนี้โบราณเรียกว่า “ริบราชบาตร”

24 พฤษภา 2561 เป็นวัดดีเดย์ ซึ่งรัฐบาลไทยสมัยนั้นใช้ยุทธวิธีกับพระสงฆ์ผู้ทรงศีล โดยการส่งเจ้าหน้าที่หน่วยแทรกซึมเข้าไปทำการ “จุกช่องล้่อมวง” ในวัดใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัดสระเกศ วัดสามพระยา หรือวัดสัมพันธวงศ์ พอตกรุ่งเช้า พระกำลังจะออกบิณฑบาต ก็ทำการ “เข้าชาร์จ” จับกุมตัวกันทันที แบบไม่มีเวลาให้ฉันข้าวต้มกันเลย

เจ้าคุณเอื้อน วัดสามพระยา ทำใจดีสู้เสือ คิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ และธรรมะคงจะรักษาผู้ประพฤติธรรม จึงยอมเดินขึ้นรถตำรวจไปกองปราบ แล้วก็ถูกจับสึกและขังคุกนานนับปี กว่าจะพ้นคุกมาก็แทบล้มแทบตาย ทุกอย่างสูญสลายหายไปหมด แม้จะคืนยศคืนตำแหน่งให้ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว ได้คืนมาก็ไม่เหมือนเดิม

แต่..แต่พระผู้ใหญ่ระดับนี้จะไม่มีลูกศิษย์คอยห่วงใยเลยนั้นก็ใช่ที่ เจ้าคุณธงชัย วัดสระเกศ จึงได้รับการกระซิบเตือนอย่างฉับพลัน พอเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบแนบหูที่ประตูวัดเท่านั้น ท่านธงชัยก็แสดงฤทธิ์ “หายวับ” ไปกับตา ตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับประกาศตามหาตัวทั่วแผ่นดิน แต่สุดท้ายด้วยความห่วงใยในลูกศิษย์ที่ถูกกวาดล้างทั้งวัด จึงยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และกว่าจะผ่านการพิสูจน์จนบริสุทธิ์มาได้นั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแทบหมดสิ้น ตำแหน่งที่ได้คืนก็คืนมาไม่ครบ นับเป็นความยุติธรรมที่ขาดหายไปในประเทศไทย ภายใต้ร่มพระบารมีที่ทรงธรรม

กล่าวทาง “พระพรหมเมธี-จำนงต์” ซึ่งเป็นธรรมยุตหนึ่งเดียวที่ถูกล็อกเป้าเข้าทำลายในครั้งนั้นด้วย ด้วยความเป็นศิษยเอกของ “หลวงปู่แหวน” วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ พระที่ในหลวง ร.9 ทรงมีพระราชศรัทธาอย่างยิ่ง และด้วยบารมีอันกว้างขวาง จึงมีข่าวว่า ท่านเจ้าคุณจำนงค์นั้นไหวตัวทัน ออกวัดไปตั้งแต่ตอนเย็นวันที่ 23 พอตกเช้า เมื่อเกิดยุทธการกวาดลานวัด ตัวท่านก็แสดงฤทธิ์ “เหาะข้ามโขง” ไปลาว เข้ากัมพูชา เป้าหมายอยู่ที่นครแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี

เรื่องราวเข้าฉากหนัง “เจมส์บอนด์ 007” เพราะ “บิ๊กแป๊ะ” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในสมัยนั้น ลงทุนเหมาเครื่องการบินไทย กะจะบินไป “ล็อกตัวพระ” ในฐานะผู้ต้องหากลับมาโชว์ผลงานที่เมืองไทย แต่สุดท้ายก็ได้ “แห้ว” มาเต็มลำ เพราะถึงทุกวันนี้ พระพรหมจำนงค์ยังคงอยู่ดีสบายในฐานะ “ผู้ลี้ภัยทางการเมือง” ในประเทศเยอรมนี เห็นทีบิ๊กแป๊ะต้องไปหาเหรียญ “เราสู้” ของหลวงปู่แหวนมาห้อยเสียแล้ว เพราะเหรียญนี้มีประวัติว่า พระพรหมจำนงค์ เป็นผู้ดำเนินการสร้างถวายหลวงปู่แหวนและรัฐบาลไทย สมัยนายกฯ เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นเหรียญช่วยชาติเหรียญแรกของไทยเราด้วย เพราะสร้างแจกทหารตำรวจทั้ง 4 เหล่าทัพ ถือเป็นเหรียญดังที่สุดของหลวงปู่แหวนเลยทีเดียว

ผบ.ตร. สรรพาวุธครบเครื่อง เหมาเครื่องตามล่าพระรูปหนึ่ง ซึ่งมีแค่เพียงผ้าสามผืนติดตัว แต่กลับจับไม่ได้ มันเป็นเหตุอัศจรรย์ใจเหลือเชื่อจริงๆ

ในทางหนึ่งนั้นก็ต้องเชื่อว่า “พุทธคุณ เอ๊ย ปาฏิหาริย์มีจริง” ไม่งั้นพระพรหมเมธีหนีไม่พ้นเงื้อมมือรัฐบาลไทยหรอก แต่ในอีกทางหนึ่งนั้น ในทางลับ กลับปรากฏว่า มีมือดีหลายมือที่เข้าช่วยฉุดดึงพระพรหมเมธีให้เหาะเหินเดินอากาศจากประเทศไทย “ผ่านลาว-กัมพูชา” ไปจนถึงเยอรมนี ภายในพริบตา ต่อให้ ผบ.ตร. เหมาเครื่องบินจี้ตามไปติดๆ ก็ยังตามไม่ทัน เห็นหลังแค่แว็บๆ

ซึ่งหนึ่งใน “คีย์แมน” หรือบุคคลสำคัญ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีการลี้ภัยของพระพรหมเมธีในครั้งนั้น ก็ปรากฏชื่อของ “หลวงพ่อจิ๋ว-พระโพธินันทมุนี” เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธยา ประเทศอินเดีย โดดเด่นเป็นสง่า หลักฐานอยู่ที่ “บิ๊กแป๊ะ” เพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบแล้วพบว่า “โทรศัพท์สายสุดท้ายของพระพรหมเมธีที่ติดต่อก่อนจะข้ามโขงไปลาวนั้น ส่งตรงถึงเบอร์ของหลวงพ่อจิ๋ว” หลวงพ่อจิ๋วจึงถูกรัฐบาลไทยสมัยนั้น ทั้งคาดคั้นและขอร้อง ขอให้ช่วยเจรจา “นำตัวพระพรหมเมธีกลับมาประเทศไทย เพื่อเข้าสู่กระบวนการ (อ) ยุติธรรม” หลวงพ่อจิ๋วเลยต้องปลีกวิเวกไปอยู่อินเดียและอเมริกาอีกพักใหญ่ ไม่งั้นอาจจะโดนนิมนต์ไปสอบสวนเป็นพยานด้วย

นั่นคือเหตุการณ์ “กวาดลานวัด” ของรัฐบาลไทย ที่ได้สร้างบาดแผลไว้กับพระศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ แบบว่าใช้ยาแรงเกินไป ใช้ระบบทหาร ไม่ละมุนละม่อมกับพระกับเจ้า พอกระบวนการยุติธรรมผ่านศาลอาญาออกมา ปรากฏว่า “พระไม่ผิด” รัฐบาลไทยก็ไปไม่เป็น ปล่อยให้เรื่องคาราคาซังมาจนป่านนี้

ดังที่กล่าวมา กรณีพระพรหมดิลก วัดสามพระยา-พระพรหมสิทธิ วัดสระเกศ พร้อมด้วยพระราชาคณะอื่นๆ นั้น ได้รับการคืนความยุติธรรมแบบครึ่งๆ กลางๆ ไปหมดแล้ว (ได้ตำแหน่งมาไม่ครบ ตำแหน่งถูกผ่องถ่ายไปให้คนอื่น เหมือนกรณีเพชรซาอุ) เหลือก็แต่เพียง “พระพรหมเมธี-จำนงค์” วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งถูกถอดยศปลดจากตำแหน่ง เหลือแต่เพียงชื่อว่า “พระจำนงค์ ธมฺมจารี” เท่านั้น

และดังที่เผยไปแล้วว่า “หลวงพ่อจิ๋ว” เป็นหนึ่งในคีย์แมนที่ทำการ “เปิดด่าน” ให้พระพรหมเมธี ได้ลี้ภัยในเยอรมนี หนีการไล่ล่าของบิ๊กแป๊ะไปได้หวุดหวิด ขนาดว่าสั่งระงับพาสปอร์ตก็ยังไม่ทันการณ์ งานนี้ถือเป็นการโชว์ฝีมือว่า หลวงพ่อจิ๋วนั้นไม่ธรรมดา

ถามว่า หลวงพ่อจิ๋วคือใคร ? ก็ตอบได้ว่า ย้อนไปประมาณ 40 ปีก่อน พระพนมศักดิ์ พุทฺธญาโณ ซึ่งท่านเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอาจารย์จิ๋วในวัยหนุ่ม ได้เดินทางมาปฏิบัติศาสนกิจเป็นพระธรรมทูตสายต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา จำพรรษาที่วัดพุทธดัลลัส รัฐเท็กซัส ซึ่งในช่วงนั้น ครอบครัวชินวัตร อันนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางมาศึกษาในระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยแซมฮูสตัน รัฐเท็กซัสด้วย จึงทำให้พระอาจารย์จิ๋วได้มีโอกาสพบปะกับครอบครัวชินวัตร โดยเฉพาะ “พายัพ ชินวัตร” น้องชายของ ดร.ทักษิณ นั้น ถึงกับปวารณาตัวลงเป็นศิษย์ก้นกุฏิของพระอาจารย์จิ๋วเลยทีเดียว

ต่อมาพระอาจารย์จิ๋วได้ขยายบารมีมาสร้างวัดป่าธรรมชาติ ที่เมืองลาพวนเต้า รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ช่วงหนึ่งนั้นเกิดปัญหา ท่านจึงย้ายกลับมาเมืองไทย และสุดท้ายได้ไปปักหลักสร้างวัดใหม่ขึ้นในประเทศอินเดีย อยู่ใกล้กับบริเวณพระศรีมหาโพธิ์ที่สุด และสร้างได้สวยงามอลังการที่สุด จะนับว่าเป็นวัดไทยสวยงามที่สุดในอินเดียก็คงว่าได้ ทั้งหมดนั้นเป็นผลงานของหลวงพ่อจิ๋ว แต่ท่านก็มีขุนพลในทางธรรมนามว่า พายัพ ชินวัตร

ทั้ง ดร.ทักษิณ และอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยเดินทางไปทอดกฐินถวายแก่หลวงพ่อจิ๋วที่วัดป่าพุทธคยา ส่วนพายัพนั้นก็เสมือนเป็นประธานฝ่ายฆราวาสช่วยหลวงพ่อจิ๋ว

สายสัมพันธ์เหล่านี้ ชี้ได้ว่า นี่คือ เท็กซัสคอนเน็กชั่น ระหว่างตระกูลชินวัตรกับหลวงพ่อจิ๋ว เป็นสายสัมพันธ์ทางศรัทธาที่มีมายาวไกล จากเท็กซัสผ่านไทยไปจนถึงพุทธคยา ถึงเราจะเห็นภาพของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร พาครอบครัวไปทำบุญที่วัดสระเกศออกบ่อย แต่อีกสายหนึ่งนั้น ก็ไปบ่อยไม่แพ้กัน ไม่งั้นจะสร้างวัดป่าพุทธคยามูลค่ากว่า 500 ล้านบาทได้หรือ

เข้าเรื่อง ถาม=หลวงพ่อครับ ไม่ทราบว่าทางหลวงพ่อจำนงค์จะเดินทางกลับไทยเมื่อไหร่ เห็นมีข่าวว่าท่านใกล้จะกลับแล้ว พอจะมีความคืบหน้าอย่างไรบ้างครับ ?

หลวงพ่อจิ๋ว “ก็ใกล้ๆ แล้วครับ รอเคลียร์อะไรนิดหน่อย แต่ทราบว่าทางผู้ใหญ่ฝ่ายฆราวาสกำลังดำเนินการอยู่ น่าจะไวๆ นี้ เพราะนี่ก็นานหลายปีมาแล้ว สงสารท่านอายุมากแล้ว อยากให้กลับมาพักรักษาตัวที่เมืองไทย”

คงไม่ต้องถามว่า ผู้ใหญ่ฝ่ายฆราวาสที่หลวงพ่อจิ๋วกล่าวถึงนั้นเป็นใคร ?

Leave a Reply