สะสาง “ศาสนสมบัติกลาง” ตลาดเฉลิมโลก!!

เมื่อวานนี้มีข่าวเล็ก ๆ ข่าวหนึ่ง ที่สื่อหลักไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากมาย นั่นคือ ปัญหาความขัดแย้งใน “ตลาดเฉลิมโลก” ย่านประตูน้ำ ซึ่งเป็น “ศาสนสมบัติกลาง” ขนาด 5 ไร่กว่า ๆ มีคณะผู้เช่ารายเดิมไปร้องเรียนให้คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบ “สัญญาเช่าใหม่”  ที่ดินซึ่งเป็นศาสนสมบัติกลาง มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท

“ผู้เขียน” อ่านเอกสารที่มีคนส่งมาให้อ่าน ในหนังสือกล่าวหา “สำนักงานพุทธฯ” ว่าทำสัญญาเช่าส่อไปทางทุจริต  เนื่องจากสัญญาเช่า 40 ปีได้เงินแค่ 238 ล้านบาท ในขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงสัญญาเช่า 38 ปี ได้เงินสูงถึง 3,499 ล้านบาท และยังบอกต่ออีกว่าหากผู้เช่าเดิมได้เช่าต่อสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติจได้เงินถึง 600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ มอบอำนาจให้บริษัทเอกชนผู้เช่ารายใหม่ฟ้องขับไล่ประชาชนผู้เช่ารายเดิมออก และทั้งเรื่องนี้สำนักงานอัยการสูงสุดไม่เห็นด้วยสำนักงานกฤษฎีกาแนะนำต้องปฎิบัติตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556

ศาสนสมบัติกลางเป็นสมบัติของคณะสงฆ์ เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา มิใช่สมบัติของ “มหาเถรสมาคม” หรือ “สำนักงานพุทธ” หรือของ “พระภิกษุ” รูปใดรูปหนึ่ง

“ผู้เขียน” อยากให้ใช้ “วิกฤติ” นี้ให้เป็น “โอกาส” อยากเห็น “นักการเมือง” หรือ “หน่วยงานรัฐ” หรือ “องค์กรอิสระ” หรือแม้กระทั้ง “NGO” ที่รักชาติ รักพระพุทธศาสนา ตรวจสอบสะสาง “ศาสนสมบัติกลาง” ผลประโยชน์มหาศาลสักทีเถอะ ก่อนหน้านี้ที่จังหวัดนนทบุรีก็มีข่าวว่ามีการเช่าศาสนสมบัติกลาง ที่ดินวัดได้ค่าเช่าหลายพันล้านบาท อันนี้ไม่นับรวม “ขุมทรัพย์ที่ดิน” อันเป็นศาสนสมบัติกลางอีกหลายแห่งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด

สะสางมิได้ “จับผิด” แต่คนหาก “ผิด” ต้องนำมาลงโทษ สะสางศาสนสมบัติกลาง เพื่อความ “หมดจด” แห่งคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา

ผู้อ่านหลายท่าน อาจจะยังไม่รู้ ศาสนสมบัติกลาง “ตลาดเฉลิมโลก” นี้เป็นมาอย่างไร ต้นสายปลายเหตุ “ความขัดแย้ง” และข้อกล่าวหาว่า “สัญญาเช่า” มีการ “หมกเม็ด”  และส่อไปในทางทุจริต

“ผู้เขียน” ขอย้อนรอยนำเนื้อหาที่ “ดร.นิยม เวชกามา” ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.สกลนคร  เคยอภิปรายไว้ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2565 เกี่ยวกับ “ตลาดเฉลิมโลก” ศาสนสมบัติกลาง ในประเด็นที่นายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ปล่อยปละละเลย มีส่วนรู้เห็นและสมคบคิดให้มีการทุจริตแสวงหาผลประโยชน์ภายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยนำตลาดเฉลิมโลก สี่แยกประตูน้ำ ซึ่งเป็นศาสนสมบัติกลาง หรือเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา ที่คณะสงฆ์ซื้อที่ดินในบริเวณดังกล่าวจากเอกชนมาตั้งแต่ปี 2477 ไปทำการฉ้อฉลหาประโยชน์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

@ สัญญาเช่า 40 ปี สัญญาธรรมหรือสัญญาทาส

ท่านประธานครับ ข้อมูลที่ผมกล่าวมาทรัพย์สินศาสนสมบัติกลางที่ตลาดเฉลิมโลก วันนี้ มีการทำสัญญาเช่าที่ไม่ชอบ ผมจึงยืนยันว่า ไม่ชอบ คือ เสียเปรียบทั้งหมด

สัญญานี้เป็นการทำสัญญา 40 ปี กับ……………… ทำเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์  ซึ่งเป็นผู้อำนวยการได้ลงนามให้เช่าที่ดินตลาดเฉลิมโลกกับ………มูลค่าสัญญา 400 ล้าน  ระยะเวลา 40 ปี

ท่านประธานครับ แค่เริ่มต้นสัญญาก็ผิดแล้ว  ตามประมวลกฎหมายแพ่ง สัญญาเช่าไม่สามารถกระทำได้เกิน 30 ปี   ผมสงสัย จึงมีคำถามว่า  มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมต้องเร่งรีบ ทำไมต้องทำสัญญาที่ผิดต่อข้อกฎหมาย ทำไมต้องทำสัญญา 30 ปี แต่ท่านก็มีทางออกว่า  ทำสัญญา 30 ปี แล้วบวกอีก 10 ปี

สัญญาเช่ามูลค่า 400 ล้าน ระยะเวลา 40 ปี โดยในสัญญาเช่าบอกว่า เพื่อพัฒนาปลูกสร้างศาสนสมบัติเฉลิมโลก ฝั่งเหนือ ที่ตั้งเดิม คือ ตำบลประแจจีน ปัจจุบัน คือ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร

ในขณะนั้น นายพงศ์พร เป็นผู้ลงสัญญา เอง โดยสัญญาดูสวยหรู บอกให้ 4,000 ล้าน เดี๋ยวดูต่อไปครับว่า 4,000 ล้าน ได้ไหม สัญญา 40 ปี

ผมจะบอกว่าสัญญานี้เป็นสัญญาฉ้อฉล  สำนักพุทธเสียเปรียบที่สุด เพราะเจตนาเอื้อประโยชน์ให้นายทุน ผิดทั้งกฎหมาย  ผมต้องไล่เป็นรายสัญญา  คือสัญญาเช่าในพื้นที่ บอก 79,000 ตรม. มีอาคารสามแท่ง

สัญญาฉบับนี้ แม้แต่คิดก็ยังผิดแล้ว ผิดยังไง 1 ถึง 3 ปีแรก ไม่ต้องเสียค่าเช่า 1 ถึง 3 ปี ไม่ต้องเสียค่าเช่า  ปีที่ 4 ถึงปีที่ 10  ปีละ 780,000 คือ ตกเดือนละ 65,000 บาท

ท่านประธานครับ  ที่ตรงนั้นมันยิ่งกว่าทองคำเลยนะท่านประธาน  แค่แผงขายพระก็เดือนละแสนบาท ผมไปดูแล้ว แค่แผงขายพระ เขายังต้องจ่ายเดือนละแสน แต่ 3 แท่งที่จะทำสัญญานี่  แท่งละ 10 ชั้น ไม่ฉ้อฉลได้ยังไง  เดือนละ 65,000  3 แท่งนะ

นอกจากนั้น ท่านยังทำสัญญาแปลกๆ ในสัญญาเช่า ระบุข้อที่ 8  ในการเช่าที่ดินนั้น ผู้เช่าก็บอกว่า ชำระค่าบำรุงกลางต่างหากจากค่าเช่าเป็นเงิน 115,000,000  แต่ท่านซอยลงมา ไม่ต้องจ่ายเงินครั้งเดียว แล้วก็ทยอยจ่ายไปเรื่อย ๆ ผมจะขึ้นให้ดู มันมีระยะที่ 1 ที่  2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5  รวมยังไง ท่านบอกว่า สัญญาบอกจะได้ 400 ล้าน  ผมไปรวมยังไงมันก็ได้แค่ 232,490,000  สัญญาก็ยังเอาเปรียบอยู่ดี ขนาดบอกว่า 400 ล้านบาท น้อยแล้ว แต่เมื่อคิดรวมเงิน ก็ได้แค่ 232 ล้าน

ท่านประธานครับ  สัญญาเช่าดังกล่าวเป็นสัญญาที่ 42/2562  ตกลงกัน 400 ล้าน แล้วก็ไม่ได้จ่ายเงิน รวมไปรวมมาก็ได้แค่ 232 ล้าน  ท่านทยอยจ่ายค่าเช่า ค่าอะไร ท่านเขียน เขียนเพื่อให้สำนักพุทธเสียเปรียบทั้งหมด   สัญญาเช่าชัดเจน

สรุปแล้วฝั่งเหนือ ผมวิเคราะห์ให้ท่านดูก็ได้ว่า ผมนำมาวิเคราะห์เพื่อปกป้องศาสนสมบัติกลางของพุทธศาสนา  ซึ่งบรรพบุรุษของเรา พระในยุคนั้น หัวก้าวหน้ามากนะพระสงฆ์ในยุคนั้น ซื้อไว้เพื่อเป็นศาสนสมบัติของประเทศ ของชาวพุทธทั้งหมด ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ผมเชื่อว่าเป็น สส.ชาวพุทธทั้งหมด  ต้องกราบเรียนว่า ที่ผมต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่ทำได้ยังไง

@ มติ มส เป็นหลักฐานมัดแน่น ทำสัญญาเช่าที่ก่อน มส มีมติอนุมัติ

สัญญานี้ทำวันที่ 4 มิถุนายน 2562  แต่ไปขออนุมัติมหาเถรสมาคม  ซึ่งมีการประชุม ครั้งที่ 21/2562  เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2562  ล่วงมาแล้ว 2 เดือน ต้องถามนายกว่า ลูกน้องท่านเร่งรีบไปไหน ทำไมต้องเร่งรีบ มีผลประโยชน์อะไรกรรมอะไรบังตาหรือไม่  ทำสัญญาไปแล้ว 2 เดือน มส. ค่อยมาขออนุมัติตามหลัง

@ทำสัญญาซ้อน ผู้เช่าเดิมยังไม่หมดสัญญาเช่า

ท่านประธานครับ  ที่สำคัญ ผู้เช่ารายเดิม หมดสัญญาเช่า พ.ศ.2568  วันนี้ก็มีการฟ้องสำนักงานพุทธ เพราะว่าสัญญาเช่าเดิมยังไม่หมด แต่ท่านก็เร่งรีบที่จะทำสัญญา  อันนี้จึงเป็นประเด็นว่า ผลประโยชน์ตกเป็นของใคร

ที่สำคัญบริษัทที่มาทำสัญญาเช่านั้น ตอนจดทะเบียนมีมูลค่าเพียง 1 ล้าน บาท แต่ก็มาเพิ่มทุนทีหลัง  มีทุนจดทะเบียน 1 ล้าน แต่มาทำสัญญาเช่า 400 ล้าน  เป็นเรื่องแปลก

พอทำสัญญาเช่า ผู้จดทะเบียนมีหุ้นอยู่ สองหมื่นห้าพันหุ้น  บริษัทนี้ไปจดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติซเวอร์จิน  ซึ่งเป็นหมู่เกาะที่ไม่ต้องตรวจ ไม่ต้องตรวจอะไรเลย สามารถผันเงินได้ ตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ

ต่อมา วันที่ 21 กันยายน  บริษัท ดังกล่าว ถอนหุ้นไปหมดเลย 49,998 ผู้ที่ทำสัญญาเหลือเพียงแค่ หุ้นเดียว  อันนี้เป็นเครื่องชี้เจตนาว่า ท่านทำเพื่อผลประโยชน์ของใคร  ผมจึงถือว่า มีเจตนาอำพราง เจตนาเพื่อทำให้เสียหาย  บริษัทนี้มีเงื่อนไขในการตั้งบริษัท ที่หมู่เกาะบิติซเวอร์จิน  ผู้ถือหุ้น ทำประชุมที่ใดๆ ในโลกก็ได้  ไม่กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ   ไม่ต้อแสดงงบการเงินและบัญชี  ไม่ต้องให้ผู้ตรวจสอบบัญชีตรวจสอบ  เป็นเจตนาที่จะมีการฟอกเงินชัดเจน  อันนี้ต้องยืนยันให้เห็นครับ

จึงมีประเด็นว่า  เป็นเจตนาอำพรางชัดเจน แล้วการส่งสัญญา ไม่มีแบบแปลน ว่า ใน 10 ปี จะทำอะไรต่อไปได้ โดยใช้เงินเพียงเล็กน้อยให้สำนักพุทธ  สัญญาที่เอื้อเอกชน

สำนักพุทธเสียเปรียบ  ศาสนาพุทธเสียเปรียบ  อ้างว่าได้เงิน 4,000 ล้าน ในอีก 40 ปีข้างหน้า อาคารที่สร้าง พออีก 40 ปี ก็แทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว

ข้อที่สอง  3 ปีแล้ว แบบแปลนยังไม่เสร็จ ข้อที่สาม  ยินยอมโดยอัตโนมัติ ไม่แย้งภายใน 30 วัน ถือว่า เห็นชอบ

ข้อที่สี่ ยังไม่หมดสัญญาเช่าก็สามารถที่จะ ผู้เช่าก็ดำเนินการให้มีผู้เช่าช่วงได้ ซึ่งเป็นโปรโมชั่น 3 ปีไม่ต้องจ่ายค่าเช่า  เงินบำรุงก้อนแรกที่ตกลงกัน ในจำนวน 400 ล้าน ให้ผ่อนส่ง  เป็นเรื่องที่ส่อเจตนาว่า  ศาสนาสมบัติกลางนี้ ท่านเอาไปปู้ยี้ปู้ยำหาเงินหาทอง  โดยไม่เห็นหัวแก่พระสงฆ์ แก่พระพุทธศาสนา

วันนี้  ผมต้องกราบเรียนว่า เราเสียเปรียบมาก คิดจากกรมธนารักษ์ เทียบกับอาคารที่อยู่ติดกัน อาคารเฉลิมลาภ  4,000 ล้าน 40 ปี  แต่ของเรา 40 ปี ได้ 400 ล้าน

@ยัดเหยียดข้อหาพระที่คัดค้านการเช่าที่ศาสนสมบัติกลาง•

อันนี้ คือ การเปรียบเทียบให้เห็น ความเสียเปรียบได้เปรียบ ต่างกันมาก  ต้องถามนายกรัฐมนตรีไปถึงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ชาวบ้านส่วนหนึ่งเคยไปร้อง เรื่องเดียวกันนี่แหละ ที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม วันนี้เรื่องเงียบไปตั้งแต่วันที่เป็นข่าว ทั้งคดีเรื่องเงินทอนวัด ท่านจับพระ ที่คัดค้านการเช่าที่ศาสนสมบัติกลาง ยัดคดีทุจริตต่างๆ  วันนี้ยังเงียบ  ท่านประธานครับ นี้คือ ความเจ็บปวดของชาวพุทธที่เขาได้รับผลจากที่ท่านนายกหากินกับวัด  หากินกับพระพุทธศาสนา

@มีผู้หญิงเป็นบล็อกเกอร์ใหญ่

แต่คนที่อยู่เบื้องหลัง ท่านนายกรัฐมนตรีทราบไหมครับ ว่าเป็นใคร เป็นผู้หญิงที่เป็นบล็อกเกอร์ใหญ่เลย ครับ  พระรู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า ผู้หญิงคนนี้คือใคร  ผมจึงต้องถามนายกว่าท่านทราบไหม ไอ้ที่มาหากินกับพุทธศาสนา เป็นคนอยู่เบื้องหลัง พระรู้หมดทั้งประเทศ เขาถึงขนาดพูดว่า อย่าว่าแต่พระรู้เลย แม้แต่พระพุทธรูปในพระอุโบสถยังส่ายหน้า

ผมจึงขอสรุปว่า  ที่ผมกล่าวมาข้างต้น ผมจึงไม่สามารถที่จะไว้วางใจนายกรัฐมนตรี  ด้วยการกระทำมีพฤติกรรม ฉ้อโกงทรัพย์สินศาสนสมบัติกลางของพระพุทธศาสนา ที่ผ่านมา ท่านก็เป็นคนโกหกอยู่แล้ว บิดเบือนข้อเท็จจริง  เป็นคนพูดจาไร้สาระ ทำครุกรรม คือ กรรมหนัก  คนแบบนี้ ในด้านพระพุทธศาสนา เรียกว่า..มีอเวจีเป็นที่ไป

“ผู้เขียน” หวังอยากเห็น “ตลาดเฉลิมโลก” เป็นต้นแบบ เป็นโมเดลให้การ แก้ไขปัญหา “ศาสนสมบัติกลาง” ของคณะสงฆ์ และของแผ่นดิน มีการบริหารจัดการด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรม โดยยึดผลประโยชน์สูงสุดเพื่อพระพุทธศาสนา..และเตือนด้วยความหวังดีว่า “ระวัง”การบริหารจัดการที่ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้  ศาสนสมบัติกลางจะโดน “ล้วงลูก” จากชนชั้นอำนาจ..

Leave a Reply