เปิดปม!! ที่ดิน “พุทธมณฑล” หลังกฤษฎีกาตีความว่าเป็นที่ “ราชพัสดุ”  

ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์ ชาวพุทธ สนุกสนานมีความสุขกับการ “สร้างวัด -สร้างโบสถ์” มีความสุขอยู่กับการนับเงินในตู้บริจาค หรือ มีความสุขเมื่อเห็นเม็ดเงินเพิ่มขึ้นในบัญชีจากการจำหน่าย “วัตถุมงคล” ไม่รู้ว่า ใครรู้เรื่องบ้างหรือไม่ว่าที่ดิน“พุทธมณฑล” จำนวน 2,500 ไร่ ที่เราภูมิใจกันหนักหนาว่าเป็น “ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก”  ที่เราเข้าใจกันมาตลอดว่าเป็น “ศาสนสมบัติ” เป็นสมบัติของชาวพุทธกำลังจะตกเป็นที่ “ราชพัสดุ” ตามข้อความบันทึกของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุว่า “สถานะพุทธมณฑล”ว่า ที่ดินพุทธมณฑล เป็นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน โดยเฉพาะตามมาตรา 1304 (3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 และเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 6 (2) แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562

“ผู้เขียน” พยายามหาปมเรื่องนี้ว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมอยู่ดี ๆ  ปมปัญหาที่ดินพุทธมณฑล จึงเป็นประเด็นขึ้นมา และ กำลังจะตกเป็นที่ “ราชพัสดุ” นี้ คนที่ทำแบบนี้ได้ เหมือนมีเป้าหมายโค่นพระพุทธศาสนาในประเทศให้หมดสิ้นไป  เสมือนต้องการ “ทุบหัวใจ” ชาวพุทธทั่วประเทศ หากที่ดินพุทธมณฑลตกเป็นที่ดินราชพัสดุจริง  ความภาคภูมิใจว่า ประเทศไทยมีศูนย์กลางทางด้านพระพุทธศาสนา ชาวโลกยกย่องให้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลกถูกลด “เครดิต” อย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น

สิ่งเหล่านี้คงจะมีความชัดเชนขึ้นในพุธที่ 19 มี.ค. 68 เวลา 10.00 น. ศาลปกครองกลาง จะนัดอ่านคำพิพากษา ระหว่าง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผู้ฟ้องคดี) กับ กรมธนารักษ์ (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหลังจากกรมธนารักษ์ จะนำที่ดินแปลง ‘พุทธมณฑล’ ไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ

“ผู้เขียน” คุยกับ “แหล่งข่าว” ที่น่าเชื่อถือได้ว่า คน “ผูกปม” ทะลึ่งส่งหนังสือไปหารือกับสำนักงานกฤษฎีกา ให้ตีความสถานะที่ดินของพุทธมณฑล ก็มิใช่ใครที่ไหน นั่นคือ “อดีต ผอ.พศ.”  ผู้ประเคน “เงินทอนวัด” ให้กับคณะสงฆ์นั่นเอง

“ผู้เขียน” พอเห็นความ “โชคดี” ของคณะสงฆ์และชาวพุทธบ้างในห้วงเวลาอันเป็น “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ในห้วงวิกฤติช่วงนี้ คือ คณะสงฆ์ของเรามี “มือกฎหมาย” อย่างน้อย 2 คน ที่คอยดูแลเรื่องนี้ คือ ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายมหาเถรสมาคม และ ดร.ชัชพล ไชยพร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการพระพุทธศาสนา รักษาราชการแทน ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม มือกฎหมายสายตรง “วัดราชพิพิธ”  และทั้งยังเป็น  “ศิษย์เอก” ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ  ผนวกกับ “ทีมกฎหมาย” สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  คงจะเอาอยู่

นอกนั้น ส่วนใหญ่มาจาก “ข้าราชการครู” หรือไม่ก็จำพวก “มหาเปรียญ” นอกจาก “ขี้กลัว” แล้ว ใจยังไม่กล้าเผชิญกับปัญหาอีกต่างหาก

ส่วนจะเอาอยู่หรือไม่วันที่ 19 นี้คงทราบผล หาก “ศาลปกครองกลาง” ตัดสินให้ที่ดิน “พุทธมณฑล” จำนวน 2,500 ไร่ตกเป็นที่ “ราชพัสดุ” ปัญหาอื่น ๆ  ตามมาแน่

แต่!! หากตัดสินโดยยึดประวัติศาสตร์ความเป็นมา มติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2502 เรื่องการให้กรมการศาสนาเป็นเจ้าของโฉนดที่ดิน หรือ แม้กระทั้งการได้มาซึ่งที่ดิน “พุทธมณฑล” จำนวน 95 แปลง ซึ่งได้มาทั้งได้จากการซื้อมาจากสำนักทรัพย์สิน การ เวนคืน ทั้งได้รับการจัดสรรจากงบประมาณแผ่นดิน รับบริจาคจากประชาชนทั่วไป รวมทั้งประเด็นสำคัญเหตุการณ์เหล่านี้  เกิดก่อน พ.ร.บ.ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 จะมีผลบังคับใช้ ย่อมเกิดผลดีต่อประเทศชาติ และ พระพุทธศาสนาโดยภาพรวม

“ผู้เขียน” จึงมักส่งสัญญาณถึงมหาเถรสมาคม คณะสงฆ์และชาวพุทธ อยู่เสมอ ว่า ประเทศไทย อะไรก็เกิดขึ้นได้ คณะสงฆ์พึงระวัง!! โดยเฉพาะที่ดินที่ตั้งวัด สำนักสงฆ์ ต้องทำให้  “ถูกต้อง”  พยายามหาทางออกโฉนดให้ได้ หากไม่สามารถออกโฉนดได้เนื่องจากเป็นที่ดินของรัฐ ก็ต้องขอเช่าหรือขอเอกสารสิทธิทางใดทางหนึ่งให้ถูก

ความจริงเรื่องนี้ “มหาเถรสมาคม” ต้องตั้ง “ทีมงานพิเศษ”  ดูแลเรื่องที่ดินวัดโดยเฉพาะ ให้สังกัดภายใต้ “ศาสนสมบัติกลาง” ลำพัง  “กองพุทธศาสนสถาน” อย่างเดียวเอาไม่พอ ไม่พอไม่ว่า ผู้บริหารบางคน “เกียร์ว่าง” อีกต่างหาก

ปัจจุบันยังโชคดี ประเทศไทยยังมีผู้นำประเทศ หรือผู้บริหารระดับสูงยังเป็นพุทธศาสนิกชน เกิดวันดีคืนดี เกิดผู้นำประเทศเกิดมี “อกุศลจิต” หรือเกิดมีผู้นำระดับสูงเป็นคนต่างศาสนาอาศัยช่องโหว่กฎหมาย ยึดที่ดินวัดคืน เหมือนกับหลายวัดที่โดนอยู่ตอนนี้ “บรรลัย” ทั้งประเทศ

“ผู้เขียน” เตือนมหาเถรสมาคมและคณะสงฆ์อยู่เสมอว่า อย่าเชื่อใจ ข้าราชการประจำ อย่าไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐจนเกินควร พวกท่านจงจำไว้ “เจ้าหน้าที่รัฐ” เชื่อใจได้ แค่ให้เป็น “ธุรการ” เท่านั่น

พูดตรง ๆ  ตอนหลังมานี้แม้กระทั้ง “นักการเมือง” ก็ไม่น่าไว้วางใจ หรือเชื่อใจได้เต็มร้อย

นักการเมืองบางคน ดีแต่รำวง  ดีแต่..พูด

หากที่ดิน “พุทธมณฑล” ตกเป็นของ “กรมธนารักษ์” กลายเป็นที่ “ราชพัสดุ” จริง

ผู้บริหารคณะสงฆ์ตั้งแต่ “มหาเถรสมาคม” จนถึง “สามเณร-เด็กวัด” ต้องไปชยันโต สนามหลวงหรือกรวดน้ำหน้ารัฐสภา กันหน่อยดีไหมครับ..

Leave a Reply