จากเปลวไฟในวันวิสาขบูชา สู่เวทีพุทธโลก : ศรัทธาไม่สิ้นสูญของชาวพุทธเวียดนาม VESAK 2025

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963)  ซึ่งตรงกับเทศกาลวันวิสาขบูชา ณ กรุงไซ่ง่อน — เมืองหลวงของเวียดนามใต้ในขณะนั้น (ซึ่งปัจจุบันคือ นครโฮจิมินห์) ขณะที่ชาวพุทธกำลังเตรียมการเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา รัฐบาลในขณะนั้นกลับมีคำสั่งห้ามการประดับธงฉัพพรรณรังสี อันเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระพุทธศาสนา

คำสั่งนั้นมิใช่เพียงการปฏิเสธสัญลักษณ์แห่งศรัทธา หากแต่เป็นการสะท้อนถึงความอยุติธรรมที่ฝังลึกมายาวนานในใจของชาวพุทธ และเมื่อเสียงแห่งขันติธรรมไม่อาจบรรเทาความเดือดร้อนลงได้ พระภิกษุผู้มีนามว่า พระทิก กว๋าง ดึ๊ก (Thích Quảng Đức) จึงตัดสินใจจารึกหน้าประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาด้วยการ อัตวินิบาตกรรมโดยการเผาตนเอง กลางสี่แยกที่พลุกพล่านของกรุงไซ่ง่อน เพื่อประท้วงอย่างสงบต่อความอยุติธรรมอันบีบคั้นหัวใจของชาวพุทธทั้งแผ่นดิน

ภาพของท่านที่นั่งขัดสมาธิท่ามกลางเปลวเพลิงอย่างสงบนิ่ง มิใช่ภาพของความรุนแรง หากแต่เป็น พลังแห่งความสงบอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพด้วยสัจจะ เมตตา และอหิงสา เปลวไฟที่เผาร่างของท่านในวันนั้น กลับกลายเป็น แสงสว่างแห่งธรรม ที่ส่องใจชาวพุทธทั่วโลก และเป็นแรงบันดาลใจให้ชนรุ่นหลังได้ธำรงอุดมการณ์แห่งพระศาสนาด้วยขันติธรรม แม้ในห้วงเวลาแห่งความมืดมิด

และเหตุการณ์อันน่าฉงนที่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของชาวพุทธก็คือ — เมื่อร่างของพระท่านถูกเผาจนมอดไหม้หมดสิ้นแล้ว “หัวใจของท่านกลับไม่ไหม้ตามไปด้วย” หัวใจของพระท่านจึงได้รับการเก็บรักษาไว้ในพระสถูป และกลายเป็น สัญลักษณ์ของเมตตา ความมั่นคงในธรรม และความไม่หวั่นไหวต่ออธรรม อันเป็นหัวใจแห่งพุทธธรรมอย่างแท้จริง

หกทศวรรษผ่านไป เปลวไฟแห่งการเสียสละในวันนั้น ไม่เพียงไม่ดับสูญ หากกลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ในรูปลักษณ์ของ แสงประทีปแห่งปัญญาและสันติภาพ ที่ส่องสว่างไกลสู่เวทีพุทธโลกในปี พุทธศักราช 2568 ประเทศเวียดนาม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแผ่นดินแห่งการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคทางศาสนา ได้ยืนหยัดขึ้นอย่างสง่างามในฐานะเจ้าภาพ วันวิสาขบูชานานาชาติ (United Nations Day of Vesak 2025) ณ นครโฮจิมินห์ — เมืองเดิมที่ครั้งหนึ่งเคยเปื้อนด้วยหยาดน้ำตา บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นเวทีแห่งรอยยิ้มและความหวังของชาวพุทธจากทั่วทุกมุมโลก  งานในปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลักว่า :

“ความเป็นหนึ่งเดียวและความอดกลั้นเพื่อศักดิ์ศรีของมนุษย์: ปัญญาพุทธเพื่อสันติภาพโลกและการพัฒนาที่ยั่งยืน”

ถ้อยคำนี้หาใช่เพียงคำขวัญบนเวที หากแต่คือ สัจธรรมที่ชาวพุทธเวียดนามได้พิสูจน์ด้วยชีวิตและหัวใจ พวกเขาฝ่าฟันความเจ็บปวดด้วยขันติธรรม รักษาพระพุทธศาสนาด้วยศรัทธา และต่อยอดพระธรรมด้วยความเพียรอันไม่ย่อท้อ — ไม่เพียงเพื่อพวกเขาเอง แต่เพื่อชาวพุทธทั้งโลก

การที่เวียดนามสามารถเชิญชาวพุทธจากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก ให้มาร่วมสวดมนต์ เจริญพระธรรม และแสดงพลังแห่งเอกภาพในงานวิสาขบูชาโลกครั้งนี้ คือ คำตอบของประวัติศาสตร์ ที่ยืนยันว่า ความดีงามไม่มีวันสูญหาย หากยังมีผู้กล้ารักษาไว้ด้วยใจที่มั่นคง

ขอให้แสงแห่งธรรมที่พระทิก กว๋าง ดึ๊ก ได้จุดไว้เมื่อครั้งอดีต ยังคงส่องทางให้ชาวพุทธทั่วโลกก้าวเดินบนหนทางแห่งปัญญา ความอดทน และความร่วมมือ ดังที่ปรากฏในวันนี้ — “ธงฉัพพรรณรังสี” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกสั่งห้าม กลับโบกสะบัดอย่างสง่างามกลางท้องฟ้าเวียดนาม เปล่งประกายเหนือเวทีวันวิสาขบูชาโลก ด้วยศักดิ์ศรีและเสรีภาพทางศาสนา เสมือนเป็นถ้อยคำตอบจากปัจจุบัน สู่คำถามของอดีต ด้วยการกระทำอันเปี่ยมด้วยศรัทธา เป็นภาพแทนแห่งความหวัง ความกล้าหาญ และการสืบทอดพระพุทธศาสนาจากรุ่นสู่รุ่น ขอให้ ชาวพุทธทั้งในเวียดนามและทั่วโลก ร่วมกันสืบสาน รักษา และต่อยอดคุณค่าแห่งพระธรรม ด้วยหัวใจที่มั่นคงในรอยบาทพระศาสดา เพื่อให้ แสงแห่งธรรมนี้ได้โบกสะบัดในใจของมนุษยชาติ ตลอดไป… ดุจเดียวกับธงธรรมที่พริ้วไสวอยู่กลางฟ้าในวันนี้

บทความโดย..พระวัฒนวชิรเมธี
รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร)

Leave a Reply