วันที่ 18 พฤษภาคม 2568 กรณี “อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง” จ.นครปฐม ถูกกล่าวหาว่า “ยักยอก” เงินวัดและนำเงินไปใช้โดย “ผิดพระวินัย” และ “กฎหมาย” บ้านเมือง ผนวกกับอารมรณ์ของผู้คนในสังคม “แอนดี้” ระบบอภิสิทธิ์ชน ซึ่งหนึ่งในนั่นคือบรรดาพวกนักบวชในพระพุทธศาสนาคือ “พระสงฆ์” ซ้ำปัจจุบันมีพระภิกษุและวัดหลายแห่ง กระทำตนใน “พุทธพาณิชย์” สังคมยิ่งต้องการเข้าไปตรวจสอบวัดและบรรดาพระภิกษุเหล่านั้น ดร.อภิญวัฒน์ โพธิ์สาน นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้สะท้อนมุมองในเชิงวิชาการที่ มหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ และชาวพุทธทั้งมวล ต้องเงี่ยหูฟัง เสนอมุมมองปัญหาและทางออกไว้ ดังนี้

เมื่อวัดกลายเป็น “แหล่งฟอกเงิน” จากนักพุทธพาณิชย์จอมปั่นยอดและนักพนันหัวใส
ช่วงนี้พุทธศาสนาในประเทศไทยกำลังเป็นประเด็น โดยเฉพาะวัดและเจ้าอาวาส ทั้งวัดไร่ขิง นครปฐม, วัดป่าวังน้ำเย็น มหาสารคาม และวัดเกตุม สมุทรสาคร แถม DRI ยังมีข้อสรุปงานวิจัยว่า “วัดกลายเป็นแหล่งฟอกเงิน” ที่จากนักพุทธพาณิชย์จอมปั่นยอดและนักพนันหัวใส วัดหลายวัดรวยทำให้เกิดมีการเล่นการพนันออนไลน์และแชร์ลูกโช่แบบ “แชร์แครอท”
ประเด็น “วัดเป็นแหล่งฟอกเงิน” เป็นประเด็นที่ลึกซึ้งและช็อค สะเทือน ต่อสังคมพุทธไทยอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อวัดซึ่งควรเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และศูนย์กลางชุมชนด้านศีลธรรม กลับตกเป็น “เครื่องมือ” ในระบบทุนนิยมอำพราง เราสามารถวิเคราะห์และวิพากษ์ประเด็นนี้ผ่านหลายมุมมองได้ ดังนี้ :
1) วัดในฐานะเครื่องมือฟอกเงิน
ปัญหา :
ในหลายกรณี เงินบริจาคจากผ้าป่า กฐินหลายล้าน และวัตถุมงคลที่ออกมากรุ่น จำนวนมากที่ไหลเข้าสู่วัด ไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อย่างโปร่งใส วัดจึงอาจถูกใช้เป็น “เครื่องมือฟอกเงิน” โดยเฉพาะจากนักพนัน นายทุนสีเทา หรือผู้มีอิทธิพล มีข่าวว่าบางจังหวัดได้รับการสนับสนุนจากนักพนันในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมาโดยแจกถึงหัวละ 3,000 ทีเดียววิเคราะห์ : ทั้งนี้ก็เพราะว่า
(1) เนื่องจากวัดไม่อยู่ภายใต้กฎหมายภาษีเช่นเดียวกับนิติบุคคลทั่วไป การบริจาคเงินให้วัดจึงไม่มีการตรวจสอบภาษีต้นทาง
(2) ระบบบัญชีวัดมักไม่มีความโปร่งใส และไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับอย่างเข้มงวดจากสำนักงานพระพุทธศาสนา
(3) การฟอกเงินผ่านวัดมักมาในรูปของ “สร้างพระ”, “สร้างโบสถ์”, “บริจาคกฐิน-ผ้าป่า” ซึ่งดูดีในสายตาสาธารณะ

2) นักบวชเล่นการพนัน-แชร์ : จริยธรรมที่ตกต่ำ
ปัญหา :
เมื่อเจ้าอาวาสหรือนักบวชเล่นการพนันหรือแชร์ลูกโซ่ เช่น กรณีแชร์แครอทตามที่ปรากฏเป็นข่าวดังเมื่อเร็วนี่ สิ่งที่ถูกละเมิดไม่ใช่เพียงกฎหมายเท่านั้น แต่คือ หลักธรรมวินัย ซึ่งเป็นรากฐานของความเป็นสงฆ์
วิพากษ์ :
(1) นักบวชควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างด้านศีลธรรม การละเมิดด้วยการเล่นการพนันจึงเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของศาสนาโดยตรง
(2) การเล่นแชร์ในหมู่นักบวชบางครั้งมีลักษณะของ “แชร์ลูกโซ่” ซึ่งนอกจากจะผิดวินัย ยังนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายด้วย
(3) หากวัดเกี่ยวข้องกับเครือข่ายนักพนันหรือนายทุน การทุจริตจะฝังรากลึกยากจะแก้ไขได้
3) นักพุทธพาณิชย์: การค้าอิงบุญ
วิเคราะห์ :
(1) มีการสร้างวัตถุมงคลปั่นยอดเพื่อหวังผลกำไรเกินควร โดยอ้างอิงพุทธคุณจนกลายเป็น “เครื่องรางเชิงพุทธพาณิชย์”
(2) วัดบางแห่งแปลงกายเป็นศูนย์การค้าแห่งบุญ เช่น การจัดงานเปิดจองพระเครื่องผ่านโซเชียล, ใช้การตลาดแบบ FOMO (Fear of Missing Out) เพื่อประมูลปั่นยอดทำเงิน มีหน้าม้าให้เหยื่อมาเป็นแมงเม่า
(3) เมื่อวัตถุมงคลกลายเป็นเครื่องมือสร้างผลตอบแทน คนจึงทำบุญด้วยเจตนาแสวงผล ไม่ใช่ละกิเลส
4) สะท้อนปัญหาโครงสร้าง : ระบบสงฆ์ที่ไร้การตรวจสอบ
คำวิพากษ์ :
(1) ระบบการแต่งตั้งและโยกย้ายเจ้าอาวาสมักมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์แฝง
(2) ไม่มีระบบตรวจสอบภายในที่เข้มงวด พระผู้ใหญ่ไม่สามารถควบคุมพระระดับล่างได้ทั่วถึง
(3) วัดใหญ่มีรายได้จากการท่องเที่ยวและการบริจาคสูง แต่ไม่มีการเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างโปร่งใส จึงทำให้เกิดเงินรั่วไหลได้ง่าย


Leave a Reply