ความปั่นป่วน!! ทั่วสังฆมณฑล ต้องพึ่ง “พระบารมี”

“ผู้เขียน” เพิ่งคุยกับ “พระสมเด็จ” รูปหนึ่งท่านบอกว่าบวชมา 60 พรรษา ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ คดีเงินทอนวัดที่ว่าคณะสงฆ์ “ปั่นป่วน-วุ่นวาย” แล้ว มาเจอคดีสีกาก๊อล์ฟ ฟาดพระภิกษุไปอย่างน้อย 13 รูป ทุกรูปที่เธอกินเข้าไปล้วนเป็นพระภิกษุระดับ “ขุน” ของคณะสงฆ์แทบทั้งสิ้น

“ผู้เขียน”  พิจารณาจาก รายชื่อ 13 “นักรบแห่งธรรม” ที่พ่ายแพ้ต่อ “กิเลส” ตนเอง โดยมี สิ่งยั่วยวนคือ “สีกาก๊อล์ฟ” แล้ว ต้องลำพึงว่า พระภิกษุสงฆ์พึงสังวรเอาไว้ว่า วิถีแห่งสมณเพศมี “พระวินัย” เป็นที่พึ่งอันประเสริฐที่สุด พระภิกษุต้องคำนึงอยู่เสมอว่าเราดำรงอยู่ได้ด้วย “พระวินัย” ด้วยข้าวจากชาวบ้าน หากเราถอยห่างจาก “จิตสำนึก”ตัวนี้ กิเลสอันเป็นสารเบื้องต้น มันจะ “พราก” ความเป็นพระของเราออกจาก “ผ้าเหลือง” เหมือนดัง “ทิด” ทั้ง 13  คน

แต่!!  ถึงอย่างไรก็แล้วตลอดชีวิตของ “ทิด” เหล่านี้ล้วนทำคุณูประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์เป็นอันมาก ท่านเหล่านี้บางรุปถือเป็น “ขุนพล”  ของคณะสงฆ์เป็นเลขาแม่กองธรรม แม่กองบาลี เป็นเจ้าคณะจังหวัด   แต่เมื่อท่านต้องอาบัติหนัก บางรูปเป็น “ตาลยอดด้วน” เมื่อต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กลับมาบวชใหม่ไม่ได้แล้ว  บางรูปต้องอาบัติ “สังฆาทิเสส” พวกเราในฐานะชาวพุทธเพื่อท่านพ้นจากความเป็นพระแล้ว ไม่พึง “ย่ำยี” หรือ “ด้อยค่า” ท่านเหล่านี้ ดังคำโบราณท่านว่า  “สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” และเชื่อว่า ท่านเหล่านี้ยังเป็น “กำลัง” ให้พระพุทธศาสนาได้ใน “เพศฆราวาส”

“ผู้เขียน” หดหู่และเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ “วงการสงฆ์” ตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเห็น  “นักวิชาการอิสระ” ไม่มีสังกัดทั้งหลาย แทนที่จะมี “ข้อเสนอ” ทางออกให้สังคม วัน ๆ กลายเป็น “นักแฉ” ข้อมูลจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ขณะที่สื่อมวลชนบ้านเรา ก็ไม่ “ทำงานบ้าน”  หยิบเอาข่าวลือในโซเซียลสื่อสารออกไปสู่สังคม  ชิงเสนอข่าว จึงผิดพลาดกันบ่อยครั้ง

ปัจจุบันการทำสื่อทีวี ไม่เหมือนกับยุคที่ผู้เขียนทำ ยุคผู้เขียน เรามี “จรรยาบรรณ” จะไม่เสนอข่าวหรือขยี้ข่าว จนทำให้ “สังคมปั่นป่วน” หรือทำให้สังคม “วุ่นวาย” กระส่ำกระส่าย

“ผู้เขียน” รู้สึกผิดหวังกับ “ตำรวจ” ที่ทำงานประโคมข่าวรายวัน ทำงานเหมือนทำ “คอนเท็นต์” ของบรรดา “ยูทูปเปอร์” แถลงข่าวปล่อยข่าวรายวัน เพื่อให้ “สื่อมวลชน-ขยะโซเซียล” ติดตามและเอาไมล์จอปาก!! ให้สังคมคิดไปต่าง ๆ  นานา ๆ

องค์กรตำรวจหลายคนพูดว่า  “ไม่น่าเชื่อถือ”  มี ลับ ลวง พราง เช่นตอนเช้า “ลูกพี่” พูดว่าไม่มีแล้ว บ่าย “ลูกน้อง” บอกมีใหญ่กว่าเดิม หรือ “วงการ” ตำรวจมันมี “ซุ้ม” ใครซุ้มมัน คุมกันไม่อยู่ ดังสังคมเขาซุบซิบกัน

“ผู้เขียน” ฟังหลายคนพูดถึง “สัญญาณพิเศษ” มาอีกแล้ว ตอน “คดีเงินทอนวัด” ก็แบบนี้ ตอนนั้น “เขาว่า” มีสัญญาณพิเศษ  เพราะเห็นตำรวจตามล่าจับสึกพระ โดยไม่เห็นหัว “สมเด็จพระสังฆราช” ไม่เห็นหัว “มหาเถรสมาคม” ไม่สนใจ “พระวินัย”  หรือแม้กระทั้ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่เขามีระเบียบแบบแผนการดำเนินงานกับ “พระภิกษุ” ที่ต้องคดี

สุดท้าย “สัญญาณพิเศษ” ยุคคดีเงินทอนวัด จบอยู่แค่คน “ผมขาว” และ 3 พ.

ล่าสุดข่าวซุบซิบมาอีกแล้ว “สัญญาณพิเศษ” ปล่อยภาพ สมเด็จ ส. สมเด็จ ธ. และเจ้าคุณ ว. ว่อนโซเซียล รวมทั้งมีคนพูดถึงสมเด็จ ส. เลยไม่รู้  “ธง” มันอยู่ที่พระสมเด็จระดับไหน กระส่ำกระส่าย ปั่นป่วน หวั่นกลัวไปทั่วสังฆณฑล

ขณะที่ “พระหนุ่ม -เณรน้อย” ยิ่งมีข่าวรายวัน บิณฑบาตแทบไม่ได้ข้าวยังชีพ!!

“ผู้เขียน” พูดอยู่เสมอว่า พระภิกษุไม่ว่าจะมีสมณศักดิ์สูง หรือ มีตำแหน่งใหญ่ ท่านก็คือ “ปุถุชน” ท่านบวชเข้ามาเพื่อ “ลด ละ เลิก” หรือ “บรรเทา” กิเลส ให้เบาบางลงเท่านั้น  ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้กับ “ทุกผู้คน” ไม่ว่าจะเป็น “พระสมเด็จ” หรือ “พระอุทัย” สังคมอย่าไปคาดหวังสูง เพราะเดียวผิดหวังและช้ำใจ จนกลายเป็น “ความเบื่อหน่าย-เกลียดพระ” บางคนเกลียดพระต้องอาบัติไม่พอ เหมารวมคณะสงฆ์ทั้งมวลด้วย

ไฟลูกโชน ที่กำลังไหม้ “วงการสงฆ์” อยู่ตอนนี้ ผู้เขียนในฐานะ “อดีตพระมหา” มองว่าความผิดพลาดส่วนใหญ่เกิดจาก “วงการดงขมิ้น” ที่หลายรูปละเลย “พระวินัย” ไม่แคร์ความรู้สึกของชาวบ้าน มีพระคุณเจ้าหลายรูป มุ่งเป้าแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ สวนทางกับ “คำสอน” ของพระพุทธองค์ที่ให้เข้าบวชเพื่อให้บรรเทากิเสส แล้วมี “พระนิพพาน” เป็นที่สุด

“ผู้เขียน” ในฐานะมีความ “จงรักภักดี” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เสมอ พิจารณาถี่ถ้วนและคิดโดยรอบคอบแล้ว บุคคลที่จะ “ดับไฟ” ที่กำลังเผาพลาญ “วงการสงฆ์” และอาจลามไปถึง “โบสถ์-กุฎิ” อยู่ตอนนี้ รวมทั้งความหวาดกลัวของบรรดาลูกศิษย์ ความกระส่ำปั่นป่วนในจิตใจของชาวพุทธได้  นอกจากขอพึ่ง “พระบารมี” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้ว ไม่มีบุคคลใดเป็นที่ “พึ่งอันประเสริฐ” ของคณะสงฆ์และชาวพุทธที่หวาดหวั่นใจได้

“ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ แต่เดิมมาข้าพเจ้าได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส และได้เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะด้วยวิธีนั้น ๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว จึงขอมอบตัวแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า จะได้รับการจัดการให้ความคุ้มครอง รักษาพระพุทธศาสนาโดยชอบธรรมตลอดไป ข้าแด่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงจำไว้ด้วยดีว่า ข้าพเจ้าเป็นพุทธศาสนูปภัมภกเถิด” นี้คือพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว!!

 

Leave a Reply