“พระมหานรินทร์” ตอบคำถาม “รองเต่า” ทำไมต้องสร้างวัด ?

วันที่ 10 สิงหาคม 2568 เฟชบุ๊ค PM-Narin Narinto ซึ่งเป็นเฟชส่วนตัวของ พระมหานรินทร์ นรินฺโท ป.ธ.9 เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา

วัดคือศูนย์กลางชุมชน ซึ่งมีขนาดที่แตกต่างกันตามจำนวนประชากรของท้องถิ่นและตัวเมือง ตั้งแต่หมู่บ้านเล็กๆ 15-20 ครอบครัว ในท้องถิ่นที่ห่างไกล เขาก็อยากจะมีวัดไว้เป็นสถานที่ทำบุญ จึงได้รวมศรัทธากันสร้างตามกำลังของตนๆ นิมนต์พระมาอยู่ประจำเพียง 2-3 รูป ก็ถือว่าเหมาะสมสำหรับฐานะของวัดบ้านนอกแล้ว มีลูกมีหลานก็นำเข้ามาบวชเรียน เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ถือว่าได้บุญทั้งชาตินี้ชาติหน้า วัดจึงเป็นที่ศาสนสถานและเป็นศูนย์กลางทำกิจกรรมชุมชนมาตั้งแต่โบราณ เรียกว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ใครๆ ก็ไปใช้วัดเป็นที่จัดงาน วัดกับบ้านจึงผูกพันกันทั้งร่างกายและจิตใจ

หมู่บ้านใหญ่ 100-300-500-1000 ครอบครัว ย่อมจะมีประชากรเพิ่มมากขึ้น จำนวนคนที่จะใช้บริการงานวัดก็ย่อมจะเพิ่มตามไปด้วย จึงมีการสร้างวัดใหญ่ขึ้นตามขนาดของชุมชน และประชากรพระเณรก็เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกับงานวัดและงานบ้านที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นไปตามอุปสงค์-อุปทาน มิได้เป็นไปตามความต้องการของใครเพียงคนเดียว

วัดสำคัญๆ ในทางบ้านเมือง เช่น วัดเบญจมบพิตร วัดสระเกศ วัดพระปฐมเจดีย์ วัดไร่ขิง วัดโสธร วัดพระพุทธชินราช วัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นต้น วัดเหล่านี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง มีศาสนสถาน-ศาสนวัตถุสำคัญระดับประเทศ เป็นวัดใหญ่และสำคัญมาแต่โบราณ จึงต้องมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม จำนวนพระภิกษุสามเณรที่จะต้องอยู่ประจำเพื่อดูแลรักษาศาสนสถานเหล่านี้ก็ย่อมต้องมากกว่าวัดทั่วไป

หลายวัดเป็นโรงเรียนประจำตำบล อำเภอ จังหวัด เป็นวิทยาลัยสงฆ์ มหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็ย่อมจะต้องมีพระภิกษุสามเณรทำหน้าที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ผู้บริหารยันภารโรง

การที่บิ๊กเต่า-พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้ออกรายการทีวีแล้วแสดงความเห็นว่า ปัจจุบัน วัดในประเทศไทยมีประมาณ 40,000 วัด และมีพระภิกษุสามเณรประมาณ 300,000 รูป ถัวเฉลี่ยได้วัดละประมาณ 6-7 รูป ถ้ากระจายพระภิกษุสามเณรไปตามวัดทั้งหมด ก็ถือว่าเพียงพอต่อจำนวนพระเณรแล้ว โดยไม่ต้องมีการสร้างวัดใหม่ หรือวัดใหญ่ เพิ่มเติมอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่รักษาศรัทธาของญาติโยมเอาไว้ก็เพียงพอแล้ว

ฟังดูแล้วก็น่าสรรเสริญยิ่งนัก เหมือนกับว่าท่านบิ๊กเต่ามีศรัทธาอย่างแรงกล้า ปรารถนาจะให้พระพุทธศาสนาบริสุทธิ์หมดจด ไร้มลทินเป็นผ้าขาว ตลอดไป

ท่านยังตั้งข้อสังเกตเอาไว้ด้วยว่า การที่พระเณรทำการสร้างศาสนสถานใหญ่โต รวมทั้งเทพเจ้าอะไรต่างๆ นานานั้น เป็นการหากินบนศรัทธของประชาชนเสียมากกว่า ซึ่งข้อนี้นับว่าถูกต้อง แต่ก็ต้องแยกแยะให้ออกว่า จะเอาการสร้างรูปเหมือนของบางวัด มาเป็นสถิติแล้วกระจายจำนวนพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศให้มีเพียงวัดละ 6-7 รูปนั้น ก็ยังไม่สมเหตุสมผล

ทีนี้ ถ้ามีข้อเปรียบเทียบว่า ตามสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น มีสถานีตำรวจทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค มากมายหลายระดับ เพื่อรองรับกับภารกิจที่แตกต่างกัน ตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอันเป็นศูนย์บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจภูธร กองบัญชการตำรวจตระเวณชายแดน และกองบัญชาการอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งก็มีขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก ไม่เท่ากัน รวมทั้งสถานีตำรวจในชุมชนใหญ่ๆ ในตัวเมืองใหญ่ๆ ไล่ไปจนถึงตำบล-อำเภอเล็กๆ ชายแดน ซึ่งย่อมจะต้องมีการจัดกำลังพลไปประจำการตามแต่ภารกิจและภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ

และปัจจุบัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดประมาณ 230,000 นาย ตั้งแต่นายพลเอก ไปจนถึงพลตำรวจ

ถ้าใช้หลักการของบิ๊กเต่า ที่ให้มีการกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท้งหมด ไปทุกหน่วยงาน ในอัตราเท่าๆ กัน เช่น แห่งละ 10-15 นาย โดยไม่มีการกำหนดเป้าหมายในภารกิจ มุ่งแต่จะสร้างความเป็นธรรมด้านกำลังพลเท่านั้น แล้วก็จะเข้าในเป้าหมายว่า “ไม่ต้องมีโรงพักใหญ่ๆ ไม่ต้องมีการสร้างอาคารสถานที่อะไรเพิ่มเติมอีก ให้มีเจ้าหน้าที่รักษาเพียง 10-15 นายก็พอจะรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศไทยได้แล้ว”

แนวคิดแบบบิ๊กเต่าเช่นนี้ ถามว่าทำได้ไหม ?

ถ้าทำได้ ก็ขอความกรุณาปรับอัตรากำลังพลเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เท่ากับทุกแห่งทั่วประเทศให้ได้ก่อน ถ้าทำได้ ก็ขอสนับสนุนให้นำมาใช้กับระบบของวัดด้วย

เริ่มที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางของบิ๊กเต่านั่นแหละ นำร่องก่อนเลย พรุ่งนี้สั่งลดกำลังพลให้เหลือ 10-15 นาย ที่เหลือนั้นให้กระจายไปอยู่ต่างจังหวัดให้หมด นึกภาพเอาเถิดว่าจะเกิดความสงบหรือวุ่นวาย

ถึงบอกว่า อยากให้บิ๊กเต่าเป็นสังฆราชหรือกรรมการมหาเถรสมาคม จะได้รู้ว่าที่พูดไปน่ะ ทำได้ไหม ?

Leave a Reply