“เจ้าคุณพล” หรือ พระเทพเวที เจ้าคณะภาค 6 เลขานุการด้านศาสนศึกษา มหาเถรสมาคม โทรมาพูดคุยระบายความในใจถึงความล่าช้า สิทธิอันพึงมีพึงได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน หรือ ค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่เกิดความล่าช้าทั้ง ๆ ที่ พ.ร.บ. การศึกษาพระปริยัติธรรม ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2562 แล้ว
แต่ ณ ตอนนี้ความชัดเจนในการทำงายก็ยังไม่เกิดขึ้นโยนกันไปมา พระเทพเวทีในฐานะ “คนยกร่าง” และ “ทำเรื่อง” พ.ร.บ. การศึกษาพระปริยัติธรรมมานี้กับมือ พูดเหมือนจะอึดอัด เพราะตอนนี้รัฐบาลให้เงินมาแล้ว เห็นเงินแล้ว แต่คณะสงฆ์และหน่วยงานที่รับผิดชอบเหมือน “ไม่รู้จะนำเงิน” ออกมาอย่างไร แล้วใครจะเป็น “เจ้าภาพ” ไปไขกุญแจ ตรงนั้น ความล่าช้าและการโยนงานกันไปมาแบบนี้กระทบต่อสิทธิอันพึงได้ของบุคลากรทางการศึกษาของคณะสงฆ์ทั้งพระภิกษุและฆรวาสน่าจะเป็นหมื่นรูป /คน
พระคุณเจ้าพูดเชิงทำนองขอให้ “เปรียญสิบ” เป็นสื่อกลางนำข้อความในใจของท่านเผยแพร่ให้คณะสงฆ์และคนที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้น และช่วยกันดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ฉบับนี้โดยเร็ว
“เปรียญสิบ”จึงแจ้งท่านไปว่า “ท่านเจ้าคุณเขียนมาเลย” จะขอนำข้อความที่ท่านเขียนและส่งมาทั้งหมดนี้ ส่งต่อ โดยไม่มีการปรับหรือตบแต่งประการใด ซึ่งท่านได้เมตตาเขียนมา “เปรียญสิบ” ขอเป็นสะพานส่งต่อดังนี้
ช่วงนี้มีประเด็นที่จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงานการศึกษาคณะสงฆ์ ตามพ.ร.บ. การศึกษาพระปริยัติธรรมฉบับใหม่ (ซึ่งว่าไปแล้วก็ไม่ถือว่าใหม่เสียเลยทีเดียว เพราะ พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีพระราชโองการโปรดเกล้า ตั้งแต่ 15 เมษายน 2562 และ ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนที่ 50 ก วันที่ 16 เมษายน 2562 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 17 เมษายน 2562)
เพราะมีความเข้าใจสับสนกันมากโดยเฉพาะการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาว่าตกลงสังกัดหน่วยงานไหนกันแน่ ขอเรียนให้ทราบชัด ๆ ว่า หลังจากที่มี พ.ร.บ พระปริยัติธรรม 2562 และมีข้อบังคับคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรมว่าด้วยโครงสร้างการบริหารงานและการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมและสถานศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2563 เกิดขึ้นโครงสร้างการบริหารงานและการจัดการศึกษาก็ปรากฏเด่นชัดเป็นระบบตามกฏหมาย ดังนี้
1.การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี สังกัด สำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวง โดยมีแม่กองบาลีสนามหลวงเป็นผู้รับผิดชอบงานการจัดการศึกษา (มาตรา 15/ ข้อบังคับข้อ 4)
2.การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม สังกัดสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง โดยมีแม่กองธรรมสนามหลวงเป็นผู้รับผิดชอบงานการจัดการศึกษา (มาตรา15/ ข้อบังคับข้อ 4)
3.การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา สังกัดสำนักงานการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา โดยมี ประธานกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เป็นผู้รับผิดชอบงานการจัดการศึกษา (มาตรา 15/ ข้อบังคับ ข้อ 4)
4.การบริหารงานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์สังกัดศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์ โดยมีประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์เป็นผู้รับผิดชอบการบริหาร (มาตรา 18(2)/ ข้อบังคับ ข้อ 4)
แล้วเกิดข้อสงสัยว่า แล้วสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จะทำหน้าที่อะไร และมีอำนาจ อย่างไร ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้..คำตอบก็คือ พ.ร.บ. ฉบับนี้ บัญญัติให้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มี “หน้าที่” ดังนี้
1. จัดทำแผนการศึกษาพระปริยัติธรรม (มาตรา 7)
2. จัดทำมาตรฐานสถานศึกษาพระปริยัติธรรม (มาตรา 7)
3. จัดทำแผนงบประมาณ (มาตรา 7)
@ เพื่อการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม เสนอต่อ “มหาเถรสมาคม” พิจารณาให้ความเห็นชอบ..
4. เป็นหน่วยงานกลางในการส่งเสริม/ สนับสนุน/ประสานงานการศึกษาพระปริยัติธรรม (มาตรา 14)
5 . เป็นสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรมหรือ กศป.
ทั้งนี้เราจะเห็นว่าตามกฏหมายและตามข้อบังคับว่าด้วยโครงสร้างการบริหารงาน..ได้กำหนดบทบาท หน้าที่ และอำนาจ ไว้อย่างชัดเจน..
ดังนั้นขอทุกฝ่ายได้ทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติและใช้ “สิทธิ” ตามกฏหมายอย่างถูกต้องและรวดเร็วทั้งนี้เพื่อเป็น “ขวัญ” และ “กำลังใจ” แก่ “เจ้าหน้าที่” ตามกฏหมาย อันจะนำประโยชน์มาสู่คณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาโดยรวมซึ่งเป็นเหตุแห่งความมั่นคงและยั่งยืนแห่งพระพุทธศาสนาดังคำชี้แจงที่ให้ไว้แก่รัฐสภา(สภานิติบัญญัติแห่งชาติ)เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561 ว่า
“สถาบันพระพุทธศาสนาโดยมหาเถรสมาคมโดยมีสำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติเป็นผู้สนองงานมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้มีพระราชบัญญัติพระปริยัติธรรมฉบับนี้เกิดขึ้นทั้งนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์ โดยเล็งเห็นถึงความมั่นคงทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักใหญ่ เมื่อพระพุทธศาสนามั่นคง ประชาชนก็จะดำรงอยู่ในศีลธรรม เมื่อประชาชนดำรงอยู่ในศีลธรรมก็จะความสุขมาสู่สังคมและมวลมนุษยชาติอย่างยั่งยืน”
แต่การที่จะเกิด 3 สิ่งนี้ได้ คือพระพุทธศาสนามั่นคง ประชาชนดำรงอยู่ในศีลธรรม นำความสุขมาสู่สังคมและมวลมนุษยชาติอย่างยั่งยืนนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบริหารจัดการภายในที่ดี การบริหารจัดการภายในที่ดีจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมี “ทรัพยากรเพียงพอ” ในการจัดการบริหาร “ทรัพยากร” ในที่นี้ หมายถึงมี “งบประมาณแผ่นดิน” มาช่วยอุดหนุนจึงเป็นที่มาของมาตรา 7 วรรค 2 ซึ่งถือว่าเป็นวรรคทอง เป็นหัวใจของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็ว่าได้ ดังบัญญัติไว้ว่า “เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามแผนการศึกษาพระปริยัติธรรม” ให้ “รัฐ” อุดหนุนงบประมาณสำหรับการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ตามความเหมาะสมและจำเป็น
คำอธิบายของ พระเทพเวที ในฐานะเลขานุการด้านศาสนศึกษา มหาเถรสมาคม คงชัดเจนนะครับ
……………………………………………..
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ”: [email protected]
Leave a Reply